หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่า “สนใจการเมือง” ความเคลื่อนไหวในแวดวงการเมืองเริ่มคึกคักขึ้นมาทันที หลายพรรคจัดให้มีการประชุม จัดตั้งกรรมการบริหารพรรค จัดการเลือกตั้งหรือสรรหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ ทั้งพรรคเก่าพรรคใหม่ใจจดจ่ออยู่กับการสู้ศึกครั้งใหม่ในวันที่ 24 ก.พ. 2562 แต่ถ้าพิจารณารอบด้านจะพบว่า การเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นได้ก็ปลายเดือนพฤษภาคมปีหน้า
วันก่อน วิทยุ 101 เปิดสายรับฟังความคิดเห็นจากทางบ้านว่า “พร้อมไปเลือกตั้งหรือไม่ พร้อมเพราะอะไร ถ้าไม่พร้อมเพราะเหตุผลอะไร” เท่าที่ฟังได้ก่อนถึงบ้านพบว่าเสียงส่วนใหญ่ ตอบว่า “ไม่พร้อมโดยให้เหตุผลที่ว่าเลือกตั้งใหม่ก็จะได้นักการเมืองหน้าเก่า ได้คนโกงกลับเข้ามาพร้อมกับความวุ่นวาย และเหตุการณ์ร้ายจะคืนมา”เสียดายที่ไม่ได้ฟังตอนผู้จัดรายการสรุปว่า คนพร้อมเลือกตั้งกับคนไม่พร้อมฝ่ายไหนมากกว่ากัน แต่พอสรุปได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังพอใจกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา
ประกอบกับงานราชพิธีสำคัญยังไม่มีหมายกำหนดการลงมา และรัฐสภาแห่งใหม่จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ใช้เป็นที่ประชุมได้หลังเดือน มิ.ย.ปีหน้า ที่สำคัญประชาชนยังหวาดผวากับความวุ่นวายและความกังวลของประชาชนทั่วไปก็เข้าใจได้จากพฤติกรรมของนักการเมืองที่แสดงออกมา เช่น ทหารแก่อย่าง พลเอกชวลิต ยงชัยยุทธ แท็กทีมกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. มวลชนที่ประท้วงรุนแรงวุ่นวายมาเป็นเวลาหลายปี ออกมาประสานเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แล้วจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลบริหารประเทศ ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาประกาศใช้แทน พร้อมทั้งข่มขู่ว่าถ้าไม่ทำตามคำเรียกร้อง
ประเทศชาติจะวุ่นวาย จะเกิดระเบิดครั้งใหม่ทั่วบ้านทั่วเมือง
ถ้ามองอย่างผิวเผินก็จะคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อของคนวัยชรา แต่ถ้าพิจารณาถึงอดีตที่ผ่านมาจะพบว่าทหารชรา พูดถึงระเบิดทีไรความวุ่นวายมักเกิดตามมา และถ้ามองให้ลึกลงไปพบว่าทหารชราได้รับการประสานเสียงจากนายจตุพรและพญาไม้ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน ในเครือข่ายการเมืองทุนสามานย์ปล้นชาติ ก็ไม่อาจห้ามความกังวลของประชาชนได้ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าทุกความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้มีเงาสัมภเวสีอยู่เบื้องหลัง นอกจากพลเอกชวลิต นายจตุพร และพญาไม้ แล้วยังมีนักการเมืองในเครือข่ายทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ขู่จะฉีกรัฐธรรมนูญปี 2560 ทิ้ง ขายเรือดำน้ำ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร โจมตีท้าทายใส่ร้ายประเทศไทยทั้งในและต่างประเทศ ทุกๆความเคลื่อนไหวล้วนไม่เป็นคุณต่อการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ในต้นปีหน้า
สาเหตุที่คนในเครือข่ายทุนสามานย์ปล้นชาติ ออกมาข่มขู่จะก่อความวุ่นวาย เรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญปี’40 มาปัดฝุ่นใช้ อาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญปี’60 ทำให้พรรคการเมืองในเครือข่ายล่มสลาย นักการเมืองขี้โกง นักการเมืองที่เคยทำผิดกฎหมายเคยติดคุกสมัคร สส. ไม่ได้ พรรคการเมืองไม่สามารถรอรับนโยบายปล้นชาติตามอำเภอใจนายใหญ่ได้ นี้คือที่มาของการข่มขู่ก่อความวุ่นวายเพื่อให้นำรัฐธรรมนูญปี’40 กลับมาใช้
ถ้าการเลือกตั้งทั่วไปมีขึ้น 24 ก.พ.2562 ตามที่หลายฝ่ายคาดหมาย ประเมินจากพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนไทย ที่ผ่านมาทำนายว่า ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของ สส. 500 ที่นั่งในสภา จากพรรคการเมืองที่ กกต. รับรองแล้ว 70 กว่าพรรค เชื่อว่าจะชนะเลือกตั้งเข้าสภาไม่เกิน 15 พรรค 2 พรรคใหญ่อาจได้พรรคละราว 120 เสียง พรรคขนาดกลางกับพรรคตั้งใหม่ที่ฮือฮา อาจได้พรรคละประมาณ 70 เสียง ที่เหลือเฉลี่ยกันในหมู่พรรคเก่าพรรคใหม่พรรคตั้งแต่ 3 ถึง 20 เสียง
ประเมินจากพฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และความช่ำชองของบุคลากรการเมืองในพรรคต่างๆ ทำนายว่าพรรคที่จะมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังจากเลือกตั้งกลางปีหน้า คือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ภท. ที่มีบิ๊กเน แกนนำกลุ่ม 16 เป็นแบ๊กคนสำคัญ ภท. พรรคขนาดกลางที่พัฒนาเป็นพรรคใหญ่อาจได้สส.ถึง 70 เสียง ส่วน รปช. ที่กำนันสุเทพ ร่วมก่อตั้งแม้จะได้ที่นั่งไม่มาก แต่ความที่เป็นคนมุ่งมั่นจริงใจ ประสานได้กับกลุ่มการเมืองส่วนใหญ่ รปช. จึงเป็นตัวแปรสำคัญในรัฐบาลผสม
กลุ่ม 16 ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญช่วยจัดตั้งรัฐบาลมาแล้วสี่ครั้ง รวมทั้งล้มรัฐบาลมาแล้วสี่ครา ในห้วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมากลุ่ม 16 ยังเกาะเกี่ยวกันเหนียวแน่นตั้งแต่ บุรีรัมย์ ชลบุรี สนามบินน้ำ นครปฐม ราชบุรี ซอยรางน้ำ ลามไปถึงสระแก้ว และถ้าเชื่อมติดกับกลุ่มสุราษฎร์ธานี อิทธิพลบารมีพอจะประสานให้รัฐบาลผสมราบรื่นได้ ส่วนพลังประชารัฐ ที่ว่ากันว่าตั้งขึ้นมาเป็นฐานให้พลเอกประยุทธ์ แม้ได้รับเลือกตั้ง
ไม่เกิน 70 เสียง ก็เป็นแกนนำรัฐบาล แต่เบื้องหลังการประสานงานเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต้องเป็นหน้าที่ของแกนนำกลุ่ม 16 กับกำนันคนดัง
ถ้ามองการเมืองด้วยความเป็นจริง จะพบว่าการเลือกตั้งในเมืองไทยครั้งต่อไป มีส่วนคล้ายกับการเลือกตั้งในมาเลเซีย ส่วนที่คล้ายคือ ดร.มหาเธร์ รวม 10 พรรคการเมืองเป็น “พันธมิตรพรรคฝ่ายค้าน” เพื่อโค่นรัฐบาลพรรคอัมโนของนายราจิบ นาซัค อัมโน ที่มี 30 พรรคการเมืองรวมกันเหนียวแน่นกว่า 60 ปี ดร.มหาเธร์ ทำสัตยาบันกับพรรคพันธมิตร ว่าเมื่อโค่นนายราจิบ ลงได้เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีแค่สองปี ก่อนโอนถ่ายอำนาจให้ นายอันวาร์ อิบราฮิม เป็นผู้นำรัฐบาลต่อ
ผลการยึดมั่นในสัตยาบันของ 10 พรรคพันธมิตรฝ่ายค้านโค่นรัฐบาลคอร์รัปชั่นลงได้ พรรคพันธมิตรฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งถล่มทลายได้ สส. 115 คน เกินครึ่งหนึ่งของ 222 ที่นั่งในสภา พรรคอัมโนที่ผูกขาดเป็นรัฐบาลมานานกว่า 50 ปี ได้เพียง 79 ที่นั่ง แต่เมื่อแยกย่อยผลการเลือกตั้งออกมา พบว่าในจำนวน 115 ที่นั่ง ที่ได้รับเลือกเข้ามา เป็นพรรคเบอร์ซาตูของ ดร.มหาเธร์ เพียง 12 ที่นั่ง พรรคพีเคอาร์ของนายอันวาร์ ได้ 49 คน พรรคพีดีเอ ของนายลิม คิดเหลียง ได้ 42 คน พรรควาริซาน ได้ 8 คน พรรคสตาร์ 1 คน ไม่สังกัดพรรค 3 คน ดร.มหาเธร์ เป็นผู้มีอิทธิพลบารมี มีความสามารถแม้พรรคของเขาชนะเพียง 12 ที่นั่ง ก็เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลผสมที่มั่นคงได้
ผลการเลือกตั้งในประเทศไทยที่จะมีขึ้นปีหน้า มีส่วนคล้ายกับมาเลเซียตรงที่ว่า พลเอกประยุทธ์ ถ้าเป็นที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ แม้พรรคชนะเลือกตั้งไม่กี่สิบเสียง ก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ถ้ามีพันธมิตรอย่าง พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา หรือแม้แต่ ประชาธิปัตย์ฯลฯ ให้ความร่วมมือและยึดถือว่ามีบารมีเป็นที่วางใจได้ แต่ความแตกต่างระหว่างพันธมิตรทางการเมืองมาเลเซียกับไทย อยู่ที่ในแวดวงการเมืองไทยไม่มีผู้ใด มีอิทธิพล มีบารมี มีคุณงามความดีและมีความสามารถเหนือใคร นักการเมืองไทยอัตตาสูงต่างฝ่ายต่างถือดีไม่มีใครยอมใคร จึงมีเรื่องท้าทายว่าหลังการเลือกตั้ง ที่มีรัฐบาลผสมมาจากกลุ่มการเมือง หลายพรรคหลายฝ่ายจะอยู่ได้นานแค่ไหน
ถ้าพลเอกประยุทธ์ อยากรู้ว่าเป็นนายกฯ มาจากการยึดอำนาจ แล้วต่อเนื่องเป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งหนักหนาสาหัสอย่างไร ให้ลองไปดูประวัติพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังยึดอำนาจปี 2520 แต่พอมาต่อเนื่องเป็นนายกฯจากการเลือกตั้ง 9 ส.ค. 2522 เจ้าของตำนานโรคร้อยเอ็ด ถูกต่อต้านจากประชาชน จากทหารและนักการเมืองในสภาอยู่ได้เพียง 7 เดือน ต้องลาออกกลางสภา
จึงเป็นอุทาหรณ์แก่นายกฯที่มาจากการยึดอำนาจ ว่า วันไหนเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง วันที่ไม่มีมาตรา 44 รองรับอำนาจ จะต้องเผชิญการต่อต้านจากประชาชน จากฝ่ายตรงข้าม จากกระทู้ซักถามในสภา จากการอภิปรายทั่วไปตลอดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะเป็นนายกฯที่มีรัฐมนตรีร่วมคณะเต็มไปด้วยข้อครหา ถ้าไม่มีขันติบารมี ไม่หนักแน่นดังหินผา เลื่อนเลือกตั้งไปเป็นกลางปีก็ไม่ว่า เพราะประชาชนยังผวา รัฐสภาแห่งใหม่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี