ประเด็นกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลัง ผลักดันร่างพ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบ เพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ..
ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนักข่าวหลังประชุมครม.เมื่อเย็นวันอังคารที่ 2 ตุลาคม
“กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง”
ร่าง พ.ร.บ.ตัวนี้มีสาระสำคัญ คือ เก็บเงินสมทบจากสินค้าบุหรี่อีกซองละ 2 บาท เอาไปสมทบบัตรทอง ถึงขั้นเครือข่ายยาสูบไปร้องคัดค้านที่ทำเนียบรัฐบาล
ก็มีการตั้งข้อสังเกตมากมาย อาทิ เภสัชกรสงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) ระบุว่า เหตุใดรัฐจึงเลือกปฏิบัติ สองมาตราฐาน เก็บเฉพาะบุหรี่ประเภทเดียว แต่ไม่รวมสินค้าบาป สุรา เบียร์ และยาเส้น เหมือนกับการเก็บเงินภาษีเข้ากองทุนอื่นที่มีการตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่า และวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ทั้งๆ ที่น้ำเมาสร้างปัญหาให้สังคม ในหลากหลายมิติ มากกว่าบุหรี่ด้วยซ้ำ ไม่เพียงเป็นเหตุก่อให้เกิดโรคถึง 200 โรค ยังก่อให้เกิดอุบัติเหตุ อาชญากรรม สร้างปัญหาสารพัดให้เยาวชน ทั้งเสียชีวิต เสียอนาคต ฯลฯ
และล่าสุด องค์การอนามัยโลก(WHO) เพิ่งจะออกมาตรการ SAFER (WHO launches SAFER, a new alcohol control initiative www.who.int/substance_abuse/safer/en/) เพื่อให้ทุกประเทศทั่วโลกช่วยกันแก้ปัญหาจากน้ำเมา 1 ใน 5 มาตรการนั้น คือ การขึ้นภาษี ถ้ารัฐบาลอยากเพิ่มงบประมาณเพื่อการรักษาโรคของประชาชน ก็ไม่ควรละเว้นการเก็บภาษีเพิ่มจากน้ำเมาด้วย ได้ทั้งภาษี และลดปัญหาจากน้ำเมาตามแนวทาง WHO ดังกล่าว
ขณะที่ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ ก็ระบุสอดคล้องกันว่าไม่เป็นธรรมทางสังคมที่จะเรียกเก็บจากบุหรี่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่รวมสุราและยาเส้น
นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ยังอาจไม่สอดคล้องกับการบริหารนโยบายรัฐอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้หลักวินัยการเงินการคลังโดยมาตรา 26 ของกฎหมายการเงินการคลังฯ ห้ามมิให้มีการเสนอกฎหมายที่มีบทบัญญัติให้จัดเก็บภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้นหรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะ ยกเว้นกรณีภาษีท้องถิ่น ซึ่งในกรณีนี้แม้จะใช้คำว่าเงินสมทบแทนคำว่าภาษีแต่ผลก็เสมือนการจัดเก็บภาษีบุหรี่ตัวใหม่ โดยไม่ผ่านระบบงบประมาณแผ่นดินและการตรวจสอบของรัฐสภา
รศ.ดร.อรรถกฤต ยืนยันสนับสนุนการหาเงินเพิ่มเติมให้โครงการ 30 บาท และการรณรงค์ให้ผู้สูบใหม่มีจำนวนลดลง แต่อยากให้รัฐบาลทบทวนร่างกฎหมายนี้ก่อน โดยเอาความยั่งยืน ความเป็นธรรมในสังคม และหลักวินัยการเงินการคลังของรัฐเป็นตัวตั้งรัฐบาลไม่ควรมองเพียงผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้นๆ เช่น การหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งจากการหาเงินเพิ่มเพียงหยิบมือให้ระบบบัตรทอง โดยเฉพาะรัฐบาลท่านนายกฯ เป็นผู้วางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และมีโอกาสสูงที่ท่านจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลต่อ
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาควรคำนึงถึงความยั่งยืน ถ้าท่านกลับมาเป็นรัฐบาลต่อแล้วคนไทยหันไปสูบยาเส้นหรือบุหรี่หนีภาษีที่อาจมีแนวโน้มสูงขึ้นในปีหน้า ท่านจะเอาเงินที่ไหนมาให้ระบบบัตรทอง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายกองทุนหลักประกันฯ เพิ่มขึ้นทุกปีตามโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการเพิ่มขึ้นของอัตราเหมาจ่ายต่อหัวประชากรเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ครอบคลุมยิ่งขึ้นและมีคุณภาพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ผูกกับผลประโยชน์ทางการเมือง
ครับ!! นักวิชาการ 2 ท่านเสนอความเห็นสอดคล้องกัน ซึ่งผมเห็นด้วยว่า จะเก็บจากบุหรี่อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องเก็บจากน้ำเมา น้ำหวาน รวมไปทั้ง อาบ อบ นวด ทั้งหลายด้วย เพื่อให้บัตรทองมีอานุภาพในการดูแลสมาชิกผู้เจ็บป่วยให้ได้ดีกว่าเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี