บ่อยครั้งที่เมื่อมีข่าวว่าจะเกิด “โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในเชิงอุตสาหกรรม” ไม่ว่าโรงงาน โรงไฟฟ้าเหมืองแร่ ฯลฯ สิ่งที่ตามมาแทบจะทันทีคือ “การประท้วงคัดค้าน” จากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งในมุมหนึ่งก็เกิดข้อกังวลว่า “ถ้าไม่มีอุตสาหกรรมเศรษฐกิจไทยจะไปต่อได้หรือ?” เพราะภาคอุตสาหกรรมเป็นรายได้สำคัญของไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง “ประสบการณ์เลวร้ายเกี่ยวกับอุตสาหกรรม” ที่ชาวบ้านพบเจอ ก็ทำให้ “ฝังใจ” จนหวาดกลัวได้เช่นกัน
ดังเรื่องเล่าจากงานแถลงข่าวรายงานและเวทีเสวนา หัวข้อ “เราสู้เพื่อปกป้องบ้านของเรา : การตอบโต้นักปกป้องสิ่งแวดล้อม ในจังหวัดเลย ประเทศไทย” ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เมื่อ 2 ต.ค. 2561 ว่าด้วยกรณีชาวบ้านใน อ.วังสะพุง จ.เลย ต้องต่อสู้กับนายทุนที่เข้ามาทำเหมืองแร่ทองคำแล้วก่อให้เกิดสารพิษรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และแม้วันนี้เหมืองจะปิดไปแล้วจากสัมปทานที่หมดลง แต่ชาวบ้านยังต้องเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป ท่ามกลางความพยายามของนายทุนที่ต้องการจะกลับมาขอทำเหมืองอีกครั้ง
ระนอง กองแสน ตัวแทนชาวบ้านบ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง เล่าย้อนไปเมื่อปี 2549 ณ หมู่บ้านชนบทห่างไกลอันแสนสงบ ปรากฏยานพาหนะบรรทุกเครื่องจักรกลหนักเข้ามาในพื้นที่เพื่อทำเหมือง หลังจากนั้นชาวบ้านก็ต้องทนทุกข์การทำเหมืองตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่สามารถนอนหลับได้สนิทอย่างในอดีตเพราะ “เสียงเจาะ-เสียงระเบิด” ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับ “ฝุ่นละออง” ตลบอบอวลไปทั่วหมู่บ้าน ซ้ำร้ายดินและน้ำที่เคยได้ใช้ทำการเกษตรมาหลายชั่วอายุคน เมื่อมีเหมืองเข้ามาก็ไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป
“ในปี 2552 มีประกาศจากสาธารณสุข ห้ามกินปลากินหอยในร่องน้ำ เราเคยกินอาหารธรรมชาติแต่เรากินไม่ได้ ต้องไปซื้ออาหารซื้อน้ำ เงินที่ได้มาก็ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว ไหนจะต้องออกไปต่อสู้ข้างนอก ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป จากทำไร่ทำนาก็ต้องมาต่อต้านเหมืองที่เป็นทุนใหญ่และมีพรรคพวกเป็นข้าราชการที่เอื้อทุน เราลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องอากาศ เรื่องน้ำ เรื่องกุ้งหอยปูปลาผักของเราที่กินไม่ได้ เหมือนเราไม่มีสิทธิ์อะไรในทรัพย์สินเลย
เราอยู่ไร่นา อยู่กับธรรมชาติ เราพึ่งพาน้ำพึ่งพาป่าที่ต้องทำมาหากิน เราต้องทำนาไม่ได้มีเงินเดือนกิน แต่น้ำที่ไหลซึมจากบ่อเก็บกากแร่ทำให้ร่องนาของเราปลูกข้าวไม่ได้ ทำแล้วก็ตาย ทำแล้วก็มีสารพิษติดมากุ้งหอยปูปลาเราก็ใช้บริโภคมาตลอดจนกว่าจะมีประกาศร่างกายของเรารับสารตรงนี้ไปเยอะแล้ว ตรวจเลือดออกมาก็เกินค่ามาตรฐานในชุมชนเรา นี่ยังไม่มีใครมารับผิดชอบดูแลและเยียวยาชุมชนเลย” ระนอง กล่าว
ลำพังปัญหามลพิษก็เลวร้ายมากแล้ว แต่ที่หดหู่กว่าคือ “เมื่อชาวบ้านลุกขึ้นมาทวงถามความเป็นธรรม กลับเจอการข่มขู่คุกคามทั้งบนดินและใต้ดิน” เรื่องนี้ตัวแทนชาวบ้านอีกราย พรทิพย์ หงชัย
เล่าว่า หลังชาวบ้านนาหนองบงตั้งกลุ่ม “รักษ์บ้านเกิด” แสดงจุดยืนให้ยุติการทำเหมือง ปรากฏมีบุคคลต้องสงสัยเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเป็นระยะๆ คล้ายจะเข้ามาดูลาดเลาอะไรบางอย่าง พร้อมๆ กับแกนนำชุมชนก็ถูกฟ้องนับสิบคดี
“เป็นเวลา 6-7 ปีมาแล้วที่ชาวบ้านโดนคดีความรวมทั้งหมดกว่า 20 คดี อย่างเราเองคนเดียวก็ 7 คดี เขาใช้ทุกวิถีทางที่จะปิดปากชาวบ้านด้วยคดีความ มีหลายคดีที่ต้องเดินทาง เช่น คดีหมิ่นประมาทที่ต้องเดินทางไปถึง จ.ภูเก็ต ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไป สร้างความลำบากให้กับพวกเรามากขึ้นที่เป็นชาวบ้านธรรมดา อีกคดีที่ อ.แม่สอด จ.ตาก พวกเราต้องเสียค่ารถไป ต้องเสียเวลาทำมาหากินซึ่งวิถีชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรต้องมีการทำสวนทำไร่ทำนา ต้องเก็บเกี่ยว พวกเราก็ต้องไปขึ้นศาล” พรทิพย์ ระบุ
ข้อสังเกตจากทนายความที่ร่วมทำคดีให้ชาวบ้านกลุ่มนี้ ส รัตนมณี พลกล้า ผู้ประสานงานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยกตัวอย่าง อาทิ “ชาวบ้านไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าจะมีการทำเหมืองทองคำใกล้ชุมชน” กว่าจะรู้ก็ตอนที่มียานพาหนะขนอุปกรณ์ทำเหมืองเข้ามาในพื้นที่ ทั้งที่เหมืองแร่เป็นกิจการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของมนุษย์
ประการต่อมา “ทั้งที่การทำเหมืองมีข้อกำหนดให้ต้องป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนแต่กลับละเลย” ด้วยความที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่มีใครมาตรวจสอบ เช่น “บ่อเก็บกากแร่”
ที่รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ - EIA) ระบุว่าต้องปูพื้นและขอบบ่อทั้งหมดด้วยแผ่นพลาสติกพิเศษ เพื่อไม่ให้สารเคมีซึมออกสู่ผืนดินภายนอก แต่เมื่อมีการไปตรวจสอบก็พบว่าไม่ได้ทำตามมาตรฐานดังกล่าวแต่อย่างใด
“กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สมัยคุณวสันต์ พานิช ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ก็ได้รับการชี้แจงจากบริษัทว่าเขาใช้แค่เพียงดินเหนียวซึ่งอยู่ในพื้นที่และอ้างว่ามีคุณภาพเพียงพอที่จะไม่ให้สารเคมีรั่วไหล และแผ่นพลาสติกที่ปูก็ไม่ได้ปูในลักษณะครอบคลุมทั้งหมด ฉะนั้นมีช่องว่างระหว่างดินเหนียวใต้พื้นดินกับตัวขอบบ่อ และหลังการตรวจสอบก็มีการร้องเรียนว่ามีสารเคมีปนเปื้อนลงไปในลำห้วยเหล็ก
ตรงนี้สำคัญเพราะมีประเด็นบ่อเก็บกากแร่แตกหรือไม่แตก ตอนเราไปตรวจสอบกับกรรมการสิทธิฯก็เห็นมีลักษณะน้ำผุดออกมาในช่วงร่องห้วยเหล็ก อันนี้พิสูจน์ยากว่ามันแตกออกมาจากบ่อเก็บกากแร่หรือไม่ แต่เมื่อมีการตรวจสอบสารเคมี ทางกรมควบคุมมลพิษและทางสาธารณสุขห้ามไม่ให้ใช้น้ำลำห้วยเหล็กอีกเลย ทั้งที่เมื่อชาวบ้านไปทำสวนทำไร่ชาวบ้านต้องนำน้ำนั้นมาถึงจะไม่ได้กินแต่ก็นำมาใช้ เมื่อชาวบ้านได้รับทราบข้อมูลตรงนี้ก็มีการร้องเรียนมาตลอด” ผู้ประสานงานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าว
ปัจจุบันวิถีชีวิตชาวบ้านนาหนองบงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นอกจากดินและน้ำจะปนเปื้อนทั้งสารหนูและไซยาไนด์อันเป็นสารพิษร้ายแรงแล้ว ชาวบ้านยังคงต้องต่อสู้คดีความกันต่อไป ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกฟ้องและฝ่ายฟ้องกลับเพื่อให้เกิดการเยียวยาความสูญเสีย ซึ่งแถลงการณ์ขององค์กรฟอร์ติฟายไรท์ (Fortify Rights) เจ้าภาพจัดเวทีในวันดังกล่าว เรียกร้องให้นายทุนเหมืองรวมถึงหน่วยงานภาครัฐยุติการฟ้องคดีกับผู้ปกป้องสิทธิสิ่งแวดล้อมและชุมชน อีกทั้งควรรีบหามาตรการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองโดยเร็ว
กรณีเหมืองแร่เมืองเลย เป็นเพียงหลายๆ กรณีที่สามารถพบเห็นได้จากข่าวต่างๆ เนื้อเรื่องมักคล้ายๆ กันทำนองอยู่ดีๆ พื้นที่ก็ถูกกำหนดให้พัฒนาอุตสาหกรรมโดยที่ชุมชนไม่รู้ จากนั้นเมื่อเริ่มดำเนินโครงการก็ปรากฏว่าอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษออกสู่ชุมชน ต่อมาพอชาวบ้านลุกขึ้นสู้ก็ต้องเผชิญการข่มขู่คุกคามสารพัดวิธีขณะที่ภาครัฐดูจะขยับเขยื้อนช้ามากในการแสวงหาข้อเท็จจริงหรือบางครั้งยังมีท่าทีเข้าข้างนายทุน เรื่องราวเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีการบอกเล่าจากชุมชนหนึ่งสู่อีกชุมชนหนึ่ง แลกเปลี่ยนประสบการณ์อันเจ็บปวดของกันและกัน
จึงไม่ต้องแปลกใจกับกระแสหวาดกลัวอุตสาหกรรมของชาวบ้าน..และเชื่อว่าคงดำรงอยู่ต่อไปหากทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้อีก!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี