คนไทยในวันก่อนเก่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากปู่ย่าตายายให้เคารพบูชาศาสนสถาน ไม่ทำสิ่งอันเป็นการไม่เคารพโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ไม่ปลูกบ้านปลูกเรือนเลียบแบบวัด และวัง เนื่องจากตระหนักในชั้นยศของอาคารสถานที่ และความเหมาะสมตามฐานะของบุคคล ดังนั้นคนโบราณของไทยจึงไม่ปลูกบ้านเทียมวัด และไม่ปลูกบ้านเทียมวัง ซึ่งผิดกับคนบางจำพวกในสมัยนี้ที่ไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้ความเหมาะความควร จึงปรากฏว่าคนไทยในยุคหลังๆ นี้จึงกล้าปลูกบ้านให้ดูเสมือนวัง และดูเสมือนวัด ซึ่งเป็นเรื่องไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง
ขอพูดถึงกรณีที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ผู้พักอาศัยบางรายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในเขตบางคอแหลมซึ่งติดกับวัดไทร ที่ทำหนังสือร้องเรียนไปยังเขตบางคอแหลม โดย
ขอให้พระสงฆ์ไม่ทำเสียงรบกวนชาวบ้านอันเกิดมาจากการตีระฆัง
ในช่วงแรกที่เห็นข่าวนี้ก็ทำให้เกิดคำถามว่า คนที่ร้องเรียนมีปัญหาทางจิตหรือเปล่า หรือว่าพระสงฆ์ของวัดนี้ทำความเดือดร้อนรำคาญให้กับชาวบ้านอย่างแสนสาหัส แต่เมื่อติดตามข่าวได้มากพอสมควรจึงได้ข้อสรุปว่า คนร้องเรียนรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานเขตบางคอแหลมน่าจะไม่ตระหนักในบทบาทหน้าที่ของวัด และผู้ร้องก็อาจจะไม่รู้ตัวเองว่า ตนเองกำลังละเมิดกฎระเบียบของสังคม
อันที่จริงแล้ว เมื่อว่ากันตามปกติจะพบว่าผู้คนในสังคมไทยย่อมมีความสัมพันธ์กับวัดในพระพุทธศาสนา รวมถึงศาสนสถานของอิสลาม คริสต์ ฮินดู และซิกข์ รวมถึงการเข้าเจ้าเข้าทรงอย่างใกล้ชิดมาเป็นระยะเวลานานแสนนานดังนั้นคนไทยไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็จะไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจหรือขัดแย้งกับการทำกิจของสงฆ์ หรือกิจของนักบวชในศาสนาต่างๆ ถ้าหากเห็นว่ากิจนั้นเป็นเรื่องถูกต้องที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน
คนไทยในวันก่อนเก่าอาศัยเสียงระฆังและเสียงกลองจากวัดเป็นเครื่องบอกโมงยาม โดยเช้าตรู่ก็จะตื่นเพื่อไปทำไร่ทำนา ประกอบกิจธุระเมื่อได้ยินเสียงระฆังดังกังวาลแว่วมาจากหอระฆังของวัด ส่วนเวลาเพล (11 นาฬิกา) ก็จะรู้ว่าเป็นเวลาฉันอาหารเพลของพระสงฆ์ ส่วนช่วงเย็นก็จะรู้เวลาเลิกงานโดยอาศัยเสียงระฆังจากวัดเป็นเครื่องขานเวลา นี่คือเรื่องปกติธรรมดาของคนไทย
อีกทั้ง แม้คนไทยจะไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามก็มิได้รังเกียจรังงอนการส่งเสียงอาซาน (เสียงเรียกจากหอกระจายเสียงเพื่อให้อิสลามิกชนทำละหมาดในแต่ละช่วงเวลาของวัน) แล้วก็ไม่เคยมีคนไทยคนไหนรำคาญหรือรังเกียจเสียงระฆังจากอาสนวิหารของคริสตศาสนา และไม่มีใครรำคาญหรือทนไม่ได้กับเสียงสวดมนต์และเสียงกระดิ่งจากโบสถ์พราหมณ์ เพราะคนผู้มีสติ มีปัญญาต่างรู้ดีว่าเหล่านั้นคือศาสนกิจที่ต้องกระทำเป็นประจำทุกวัน
ดังนั้นเราจึงพบว่าวัด (ศาสนสถาน) กับบ้านจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวมาโดยตลอด บ้านและวัดต่างเกื้อกูลกันและกันยกเว้นวัดบางแห่งที่มีพระสงฆ์ผู้ทุศีลอาศัยหากินอยู่ภายในวัด หรือวัดที่มีพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล ด้วยกลอุบายพุทธพาณิชย์ ก็มักจะเกิดปัญหากับชาวบ้านโดยตลอดเช่นกัน โดยเฉพาะวัดที่มีพระสงฆ์นำที่ของวัดไปหากินเพื่อนำผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อของตนเอง (วันหน้าจะกลับมาเปิดโปงพฤติกรรมฉ้อฉลภายในวัดให้ทราบโดยทั่วกัน)
เป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์จนเกินจะกล่าวเมื่อเห็นเป็นประจำว่าทุกวันนี้ในเมืองไทยมีตึกสูงๆ ก่อสร้างแบบไม่เกรงอกเกรงใจ เพราะความสูงของตึกค้ำยอดเจดีย์ โบสถ์ วิหาร และศาสนาสถาน โดยตึกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นคือสรรพสินค้าชื่อดังของประเทศ รวมถึงอาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม
คนโบราณสอนลูกสอนหลานว่า อย่าปลูกบ้านปลูกเรือนให้สูงเกินกว่ายอดพระเจดีย์ และหลังคาโบสถ์วิหาร เพราะจะทำให้เกิดความอัปรีย์ ความเสื่อมทรุดกับผู้ที่อยู่อาศัย แต่คำสอนของคนโบราณกลับถูกละเลยไปจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้น เราจึงพบความอุบาทว์เกิดขึ้นกับคนในสังคมไทยยุคหลังๆ นี้เป็นประจำ
ภาพที่น่าสมเพช ซึ่งเข้าขั้นทัศนอุจาดอย่างหนึ่งของสังคมไทยคือ วัด และศาสนาสถานต่างๆ ซึ่งถูกล้อมไปด้วยตึกสูง ยอดของเจดีย์ และยอดของหลังคาโบสถ์ กลายเป็นต้องอยู่ต่ำเตี้ยกว่าราวตากผ้าบนตึกสูง อาคารจอดรถยนต์ของห้างสรรพสินค้า และคอนโดฯ หลายแห่งอยู่ค้ำหัววัด
แต่ที่น่าเวทนายิ่งกว่าคือคอนโดมิเนียมบางแห่งก่อสร้างจนดูเสมือนติดชิดกับปล่องเมรุเผาศพ ซึ่งนับเป็นภาพอุบาทว์ แต่ทว่าภาพน่าสังเวชเช่นนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่คนสิ้นคิด
ในสังคมไทยพากันยอมรับไปเสียแล้ว
ย้อนกลับไปถึงเรื่องที่คนบางคนโวยวายว่าไม่สามารถยอมรับ และไม่สามารถทนได้กับเสียงระฆังจากวัดได้ เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า คนที่โวยวายในเรื่องเช่นนี้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ดีหรือไม่ แล้วคนที่ร้องเรียนโวยวายในเรื่องนี้ ไม่เคยมีความรู้ขั้นพื้นฐานประดับสติปัญญามาก่อนบ้างเลยหรือว่า เมื่อมีวัดของศาสนาพุทธ ก็ต้องมีหอระฆัง หอกลอง แล้วก็ต้องมีเสียงระฆังและกลองดังออกมาจากวัด
คำถามต่อมาคือ เมื่อตัดสินใจจะเข้าไปอาศัยในคอนโดมิเนียมแห่งที่กลายเป็นข่าว ผู้อาศัยที่โวยวายเรื่องเสียงระฆัง เคยมองเห็นวัดมาก่อนหรือไม่ หรือว่าเมื่อวันที่ตัดสินใจย้ายเข้าไปอาศัยในคอนโดฯแห่งนั้น ผู้ร้องเรียนไม่เคยเห็นวัดมาก่อน หรือเห็นวัดก็จริง แต่ไม่รู้ว่าพระหรือเด็กวัดจะต้องตีระฆังเพื่อบอกให้สงฆ์ในวัดลงอุโบสถเพื่อประกอบพิธีกรรมของสงฆ์
หากจะว่ากันไปแล้ว ผู้ร้องเรียนในเรื่องนี้ก็ถือว่าอัปลักษณ์ และพิสดารพอประมาณอยู่แล้ว แต่ที่อัปลักษณ์และพิสดารหนักยิ่งกว่าก็คือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเขตผู้ที่ลงนามในหนังสือซึ่งแจ้งไปยังวัดว่าขอให้ลดการกระทำให้ระฆังเกิดเสียงดัง เพราะเสียงรบกวนผู้ร้องเรียน
คนในสังคมจำนวนไม่น้อยบอกว่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ลงนามในหนังสือราชการจากสำนักงานเขตบางคอแหลมรายนั้นจะไร้สติได้ถึงเพียงนี้ มีคำถามตามมาด้วยว่า ผู้ลงนามเคยรู้หรือไม่ว่าวัดในศาสนาพุทธต้องมีระฆังแล้ววัดก็ต้องตีระฆัง เนื่องจากระฆังเป็นเครื่องบอกเวลาอย่างหนึ่งของวัดและแจ้งเวลาให้กับคนสังคมรอบวัดได้รับทราบ หรือผู้ลงนามอาจจะเข้าใจว่าระฆังในวัดมีไว้เพื่อแขวนประดับเท่านั้น อันที่จริงยังมีผู้คนอีกมากมายที่ให้ความเห็นเชิงประณามผู้ลงนามในหนังสือจากสำนักงานเขตไปถึงวัดอีกจนกล่าวไม่หมด แต่จะไม่ขอนำมากล่าวในที่นี้ เพราะเพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของผู้ลงนามอย่างชัดเจนแล้ว
อันที่จริงแล้ว ทั้งเจ้าของผู้ลงทุนปลูกสร้างคอนโดมิเนียม และผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียม รวมถึงผู้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานต่างๆ ที่ปลูกสร้างอยู่รอบล้อมวัด และสร้างอาคารสูงโดยค้ำหัววัด ควรจะต้องสำเหนียกและสำนึกตัวเองให้มากว่า ตนนั้นสมควรจะต้องให้ความเคารพต่อวัดให้มาก และไม่ควรลืมตัวว่าตนเองนั้นมีฐานะของผู้มาอยู่ภายหลัง และผู้ที่มาอยู่ภายหลังก็ไม่บังควรจะทำความเสียหายเดือดร้อนใดๆ ให้บังเกิดกับผู้ที่อยู่มาก่อน
สังคมไทยยุคที่ผู้คนไร้สติ ไร้ปัญญา มักง่าย และสิ้นคิด มักเข้าใจผิดตลอดเวลาว่าตนเองมีสิทธิเสรีภาพเหนือผู้อื่น คนไร้สติ สิ้นปัญญาพรรค์อย่างนี้มักคิดถึงแต่ความสะดวกสบายและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่โดยไม่เคยให้ความสนใจในรากเหง้า ความเป็นมาของสังคมคนจำพวกนี้มักจะเอะอะโวยวายราวกับคนไร้สติตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
อย่างไรก็ตาม ผู้คนมากมายในสังคมไทยยังคงยืนยันว่า เสียงระฆังจากวัดคือเรื่องปกติสามัญของสังคมชาวพุทธ แต่หากผู้ใดที่อยู่ในสังคมปกติเช่นนี้แล้วไม่สามารถยอมรับเรื่องธรรมดาสามัญเช่นนี้ได้ ก็เห็นทีจะต้องพิจารณาตัวเองเป็นการด่วน ส่วนจะพิจารณาแล้วตัดสินใจอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา และความรู้ผิดรู้ชอบของปัจเจกเป็นสำคัญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี