ปกติมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตย์ประเสริฐ จะทำอะไรคงไม่คิดแค่ว่า หากกฎหมายไม่ห้าม ก็ทำได้ทั้งหมด
แต่ขณะนี้ มีการนำเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือ หรือเป็นข้ออ้างที่จะกระทำหรือไม่กระทำอะไร ที่ดูจะขัดต่อธรรมาภิบาล ขัดต่อความรู้สึก และขัดต่อมารยาทของสังคม
ข้ออ้างว่าทำตามกฎหมายดังกล่าวเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นิยมตั้งแต่คนขับรถตุ๊กตุ๊ก จนถึงนายกรัฐมนตรี
1. คนขับรถตุ๊กตุ๊ก ที่แสดงกิริยาจะทำร้ายคนขับรถ Grab Car ที่สถานีขนส่งเชียงใหม่ ไล่ผู้โดยสารต่างชาติลงจากรถ Grab Car จนโดนผู้โดยสารต่างชาติถ่ายคลิปประจานพฤติกรรมไปทั่วโลก
คนขับรถตุ๊กตุ๊ก อ้างว่า “ที่ทำลงไป เป็นเพราะอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนขับรถรับจ้างสาธารณะที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย และขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหากรณี Grab Car อย่างเด็ดขาดเสียที เพราะที่ผ่านมามีการร้องเรียนมาตลอด แต่ไม่เป็นผล และยังถูกแย่งทำมาหากินอยู่ตลอด”
นอกจากนี้ ยังอ้างว่า Grab Car ทำผิดกฎหมาย ส่วนตนทำถูกกฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนขับรถตุ๊กตุ๊กเองก็ทำผิดกฎหมาย เพราะไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ แต่ก็กลบเกลื่อน อ้างกฎหมายเล่นงานคนอื่น หวังทำให้การข่มขู่คุกคามจะใช้อาวุธทำร้ายคนอื่นดูจะน่าเห็นใจ
2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถูกนักข่าวถามย้ำว่า มีกระแสกดดันให้รัฐมนตรี 4 คน ลาออก เพื่อความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง และจะได้สง่างาม
พลเอกประยุทธ์ย้อนถามว่า กฎหมายเขาว่าอย่างไร ก่อนหน้านั้นเขาทำกันอย่างไร มีกรณีแบบนี้หรือไม่
“มีหรือเปล่า มีไหมจ๊ะ”
คนระดับนายกรัฐมนตรี ก็นำกฎหมายมาอ้างเพื่อหาทางออกให้กับการกระทำของรัฐมนตรีในรัฐบาลของตน
โดยไม่ต้องดูว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายเขาต้องการให้รัฐมนตรีและผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลปัจจุบันไม่เข้าไปเป็นผู้แข่งขันทางการเมือง
รัฐธรรมนูญจึงระบุให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขณะปัจจุบันต้องลาออกภายใน 90 วัน หากจะอยู่ในสนามการเลือกตั้ง และด้วยเหตุที่จำกัดสิทธิเช่นนี้ รัฐธรรมนูญเลยกำหนดให้รัฐบาลปัจจุบันมีอำนาจเต็มเหมือนรัฐบาลปกติในการบริหารประเทศ ไม่ใช่รัฐบาลเฉพาะกาลที่ทำหน้าที่ได้บางอย่างในระหว่างการเลือกตั้ง
แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนห้ามด้วยลายลักษณ์อักษรว่า ห้ามรัฐมนตรีไปเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค ที่บริหารจัดการการเลือกตั้งของพรรค ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีศรีธนญชัยตีความตามตัวอักษรของกฎหมาย โดยไม่พิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมาย ความสง่างาม ความละอาย และธรรมาภิบาล
น่าเสียใจที่กฎหมายทั้งหลายที่อ้าง เกิดขึ้นในยุค คสช. ซึ่ง คสช.มีส่วนในการออกกฎหมาย กลับหาช่องไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
3. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี อ้างในเรื่องเดียวกันว่า “กฎหมายมีหรือไม่ (ที่จะให้รัฐมนตรีลาออก) เรื่องความสง่างามกับกฎหมายมันต่างกัน เวลานี้เรายึดกฎหมาย ทำตามกฎหมายทุกอย่าง”
เมื่อสื่อมวลชนถามย้ำว่า มีการเรียกร้องให้รัฐมนตรีลาออก พลเอกประวิตรก็บอกว่า “ถ้าอยากให้ลาออก ก็ออกสิ ที่ผ่านมามีการกระทำเช่นนั้นหรือไม่ รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ที่มาจากวิธีพิเศษก็ไม่เห็นมีการลาออกสักคน”
ก็เช่นเดียวกัน อ้างกฎหมายอย่างไม่พิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมาย และที่ร้ายกว่านั้น อ้างว่าคนอื่น
เขาก็ไม่เห็นต้องทำกัน เป็นการอ้างที่ไม่ต้องดูบริบทที่ต่างกัน กฎหมายรัฐธรรมนูญต่างกันคนละฉบับ
จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า
(1) เห็นด้วยว่า ทุกคนต้องทำตามกฎหมาย แต่ต้องพิจารณาจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไม่ใช่ตีความหาช่องโหว่ของกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายในกรณีที่ตนได้ประโยชน์ แต่ใช้กฎหมายเล่นงานผู้อื่นในกรณีที่ตนได้ประโยชน์ (ทั้งนายกฯ รองนายกฯ และตุ๊กตุ๊ก มีพฤติกรรมคล้ายกัน)
(2) ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า กฎหมายไม่ได้ลอยมาจากสวรรค์ แต่มนุษย์ที่มีอำนาจเป็นผู้กำหนดขึ้น ตามการรับรู้ ตามกิเลส ตามอคติของผู้มีอำนาจที่ปรากฏในตัวบทกฎหมาย
กฎหมายจึงถูกปรับเปลี่ยนไปตามเวลาและสังคมที่แปรเปลี่ยน รวมทั้งผู้มีอำนาจที่เปลี่ยนไป
การตรากฎหมายที่ดีจึงควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้ และให้ความเห็นในการตรากฎหมาย
(3) ผู้มีอำนาจที่มีส่วนในการตรากฎหมาย ควรระวังตนที่ต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ไม่ใช่มือถือสากปากถือศีล
และไม่ใช่แก้กฎหมายด้วยคำสั่งตามมาตรา 44 ของผู้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ แก้กฎหมายที่ตราไว้แล้วตามอำเภอใจ และตามผลประโยชน์เฉพาะหน้า
จากพฤติกรรมของนักการเมืองที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย ดังพฤติกรรมของศรีธนญชัย เป็นที่ประจักษ์ในสังคม เราจึงมีพรรคการเมืองที่อาจจัดพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกเป็น 3 ขั้วทางการเมือง
ดังนี้
ขั้วที่ 1 พรรคการเมืองนอมินี
พรรคการเมืองที่ผู้มีอำนาจเป็นผู้ทำงานการเมืองตัวจริง ไม่เปิดตัว แอบเบื้องหลัง
พยายามตั้งนอมินี (ตัวแทนเชิด) เป็นหัวหน้าพรรค เลขาฯพรรค
ทั้งนี้ เพื่ออำพรางและหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบตามกฎหมายในกรณีพรรคทำผิด
ขั้วการเมืองนี้ จะนิยมแตกตัวเป็นหลายพรรค มีพรรคอะไหล่ พรรคสำรอง มีสัญลักษณ์ มีรูปลักษณ์ตรงตามความคิดความนิยมของคนกลุ่มต่างๆ คล้ายสินค้าที่เนื้อในเหมือนกัน แต่แต่งสีแต่งกลิ่น แต่งรูปลักษณ์หีบห่อให้ดูแตกต่าง เพื่อจับตลาดต่างกัน
ขั้วที่ 2 พรรคเฉพาะกิจ
เป็นพรรคการเมืองที่ผู้มีอำนาจหวังที่จะมีอำนาจต่อ แต่ไม่ยอมทิ้งอำนาจปัจจุบัน
หลบและแอบอยู่เบื้องหลัง
คนต้องการมีอำนาจ ทั้งตำแหน่งนายกฯและรัฐมนตรี ไม่ลงสมัครให้ประชาชนเลือก แต่หลบหลีก เข้าบริหารพรรคการเมือง และจะได้เสนอชื่อเป็นนายกฯ และรัฐมนตรี
ขั้วนี้ ก็มีการแตกตัวเป็นหลายพรรคย่อย เพื่อจับตลาดแต่ละส่วนที่มีแนวคิดต่างกัน แต่จะมารวมกัน
ภายหลังด้วยผลประโยชน์ร่วมกัน
ขั้วที่ 3 พรรคการเมืองตามแบบสถาบันทางการเมือง
เป็นพรรคการเมืองที่ยึดเสรีประชาธิปไตย เป็นหลัก มีแนวคิดนำพาพรรคในรูปแบบสากลตะวันตก ถึงกับให้มีการหยั่งเสียงโดยสมาชิกพรรคในการเลือกหัวหน้าพรรค (Primary Vote) ซึ่งต่างกับ Family Vote ในขั้วที่ 1
ขั้วนี้ ดูไม่หวือหวา ไม่ใช้เกลือจิ้มเกลือ หรือโจรจับโจร
เพราะกลัวบ้านเมืองจะเป็นโจรไปหมด
ขั้วนี้จึงอยู่ได้ยาวนาน แต่ไปไม่ถึงดวงดาว เพราะไม่ได้ใจ และไม่สะใจสังคมที่ยังนิยมศรีธนญชัย และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงลูกถึงคน
คงต้องติดตามดูกันต่อไปละครับ ว่าในเมื่อขั้วเดียวมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้น้อยมาก สองขั้วการเมืองขั้วไหนจะจับกับขั้วไหน ?
ประชาชนคนมีสิทธิเลือกตั้งจะช่วยทำให้เป็นความจริงอย่างไร?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี