กลายเป็นดราม่ากันยกใหญ่ในสื่อออนไลน์ กรณี “นายศิริโชค โสภา” อดีต สส. ประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความสำนึกผิด ขอโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดี ว.5 โฟร์ซีซั่น หลังจากตกลงยอมความกันได้แล้ว โดยฝ่ายยิ่งลักษณ์ไม่เอาเรื่อง จะถอนคดีออกจากศาลให้
คนติดตามข่าวนี้ พลันแบ่งเป็นสองกระแส พวกหนึ่งบอก “ไปยอมทำไม ไร้ศักดิ์ศรี” อีกพวกก็โจมตี “ผู้ชายอะไร ไม่แมนเลย ขอโทษวันเดียว แล้วลบโพสต์ทิ้ง ไม่จริงใจนี่หว่า”
ต่อมาก็มีข่าวอีกว่า ฝ่ายยิ่งลักษณ์ยังไม่ถอนคดี
ล่าสุด 8 ต.ค.2561 นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเจรจาเพื่อถอนคำฟ้องฎีกาในคดีหมิ่นประมาทโฟร์ซีซั่นส์ และนำมาซึ่งการหารือกันระหว่างทีมทนายกับจำเลยในวันนี้ ว่า จำเลยทั้ง 3 คน คือ นายศิริโชค โสภา, นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และนายเทพไท เสนพงศ์ ได้ติดต่อผ่าน นายวัฒนา เมืองสุข โดยขอให้โจทก์ยื่นคำร้องถอนฎีกาในคดีหมิ่นประมาทที่จำเลยทั้ง 3 ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่ามีความผิดจริงตามฟ้อง สั่งลงโทษจำคุกและปรับ โดยจำเลยทั้ง 3 ได้สำนึกผิดในการกระทำที่เกิดขึ้น และขออภัยต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะโจทก์ ซึ่งเมื่อวันที่ 5 ต.ค.2561 นายศิริโชค จำเลยที่ 2 ได้เป็นตัวแทนจำเลยอีก 2 คน โพสต์ข้อความเป็นจดหมายเปิดผนึกแสดงความสำนึกผิดและขออภัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผ่านเฟซบุ๊คของนายศิริโชค เป็นระยะเวลา 7 วัน
อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวอดีตนายกฯ ได้ดำเนินการฟ้องร้องเพื่อความเป็นธรรมและเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีส่วนบุคคล เมื่อศาลพิจารณาข้อเท็จจริงตัดสินว่า การกระทำของจำเลยมีความผิดจริง แล้วจำเลยมาขอโทษด้วยความสำนึกผิดจริง พร้อมกับขอให้อดีตนายกฯ ให้อภัยต่อจำเลย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็พร้อมจะให้อภัย และไม่ปรารถนาที่จะเห็นครอบครัวของจำเลยทั้ง 3 ต้องเผชิญกับความทุกข์ ดั่งที่เราได้เห็นจากกรณีที่นักโทษทางการเมืองหลายคนได้รับไปก่อนหน้านี้ แม้แต่ตัวท่านอดีตนายกฯ และครอบครัวเอง ก็ได้รับผลกระทบและได้รับความทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวด้วยเหตุทางการเมือง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในการเจรจาในวันนี้ ทางทนายประกอบไปด้วยตน กับ นายสมหมาย กู้ทรัพย์ จึงต้องการให้จำเลยคงข้อความขอโทษผ่านเฟซบุ๊คของจำเลยที่ 2 จนกว่าจะพ้นกำหนดระยะเวลาของวันที่ 19 ต.ค.2561 ซึ่งศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจของจำเลยทั้งสามว่ามีความสำนึกผิดและมีเจตนาที่จะให้โจทก์ให้อภัยต่อจำเลยทั้งสามอย่างแท้จริง
ส่วนขั้นตอนการดำเนินการถอนคำร้องฎีกา หลังจากได้มีการหารือและเซ็นข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ทางทนายความจะได้ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอถอนฎีกา ภายในวันที่ 19 ต.ค.2561 ต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการหลังจากยื่นจะขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของทางศาลในการพิจารณา
เรื่องนี้ มีหลายมุม...ที่ต้องมองครับ
1) คดีหมิ่นประมาท เป็นคดีที่ “ยอมความได้” ดังนั้น ถ้าโจทก์กับจำเลยตกลงยอมความกัน ก็สามารถถอนคดีออกจากศาลได้ทุกเมื่อ ทั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการ
2) คดีนี้ กำลังรอคำตัดสินของศาลฎีกา ก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ศาล สั่งจำคุกจำเลยทั้งสาม คือ ศิริโชค, เทพไท, ชวนนท์ เมื่อค้นดูคำพิพากษาโดยย่อ ก็พบดังนี้...
“ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2557 ได้บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2555 และ 15 ก.พ.2555 จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันจัดรายการสายล่อฟ้า ที่ออกอากาศผ่านดาวเทียมบลูสกาย มีเนื้อหาใส่ความน.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะนั้น ที่เป็นผู้เสียหาย ทำนองว่าโดดภารกิจการประชุมของรัฐสภาและน่าจะกระทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟรซีซั่นส์ ซึ่งเป็นความประพฤติที่ผิดจริยธรรมในฐานะสตรีเพศที่เป็นภรรยาของสามี นอกจากนี้ยังมีภาพประกอบนำเสนอในรายการด้วย ซึ่งข้อความดังกล่าวน่าจะทำให้ผู้เสียหาย ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป โดยเป็นการทำให้ผู้เสียหาย
ทั้งนี้ กระทำการตามหน้าที่ในฐานะประมุขของฝ่ายบริหารได้รับความอับอาย และเป็นการทำลายเกียรติของผู้เสียหายในฐานะนายกรัฐมนตรี อันเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินและในฐานะส่วนตัวที่เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ชั้นพิจารณาของศาล จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ส.ค.2558 เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ให้จำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 1 ปี ปรับคนละ 50,000 บาท แต่พิจารณาแล้วจำเลยทั้ง 3 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนโทษจำคุกจึงเห็นควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับ 7 วันติดต่อกัน ขณะที่จำเลยทั้ง 3 ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โจทก์ร่วม มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสาธารณะที่สามารถจะตรวจสอบได้ภายใต้กฎหมาย หากการตรวจสอบกระทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดและเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน ย่อมทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายและอาจส่งผลสร้างความเสียหายไปถึงกระบวนการยุติธรรมได้ โดยการจัดรายการของจำเลยทั้ง 3 มีการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายพิเศษ ซึ่งจากหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบ เห็นว่าถ้อยคำของจำเลยทั้ง 3 ทำให้คนทั่วไปเห็นว่า โจทก์กระทำการที่ไม่เหมาะสมทางเพศ
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นการนำข้อความของจำเลยคนละช่วงในการจัดรายการมาปะปนกัน และเป็นการคาดคะเนของโจทก์ร่วมเอง ศาลเห็นว่า การฟ้องโจทก์จำเป็นต้องนำข้อความในส่วนที่มีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์มายื่นฟ้อง การยื่นฟ้องดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการตัดต่อข้อความ โดยศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อความทั้งหมดเหมือนการอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณาเฉพาะข้อความบางท่อน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต เพื่อให้โจทก์ร่วมออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่ไปปฏิบัติภารกิจในวันดังกล่าว ศาลมองว่าการกระทำของจำเลย ไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต แต่ลักษณะการพูดเป็นการชี้นำในรายการ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่จำเลยอ้าง
ขณะที่จำเลยอุทธรณ์กล่าวอีกว่า หากมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงการทำภารกิจของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุดังกล่าว จะเป็นเหตุไม่ต้องรับโทษ เนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวในการต่อสู้คดี ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นยังรับฟังไม่ได้
ส่วนที่โจทก์ร่วมขอให้มีการลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวโจทก์ร่วมเอง ก็ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กระจ่าง จำเลยต้องการให้โจทก์ร่วมออกมาชี้แจงเรื่องภารกิจในวันดังกล่าว การกระทำจำเลยจึงเป็นเจตนาดีสมควรให้รอการลงโทษ”
3) ทำไมไม่สู้ต่อ พิสูจน์ให้มันถึงที่สุดล่ะ บางคนมีคำถามนี้ ก็เป็นการตัดสินใจของพวกเขานะ ไม่น่าจะเกี่ยวกับคนอ่าน (ฮา...) จริงๆ มีสองประเด็นคือ หนึ่ง-ศาลพิพากษาตรงกันสองศาลแล้ว การยื่นฎีกามิใช่จะกระทำได้โดยง่าย กับสอง-หากไปถึงขั้นศาลฎีกาตัดสิน หากมีโทษจำคุก ก็สุ่มเสี่ยงต่ออนาคตทางการเมือง ดังนั้น จึงเกิดการเจรจากันระหว่างโจทก์กับจำเลย ได้ข้อสรุปที่จะถอนฟ้อง (ซึ่งในรายละเอียด เราก็ไม่รู้หรอก ว่าเขาเจรจากันอย่างไร มีเงื่อนไขอะไร นอกเหนือจากที่ทนายยิ่งลักษณ์บอก)
4) จะบอกว่ายิ่งลักษณ์ใจกว้าง เป็นแม่พระใช่ไหม ไม่รู้นะ ก็เราไม่รู้ข้อตกลงของพวกเขาไง มันอาจจะเป็นความ “สมประโยชน์” ก็ได้ แต่เอาล่ะ มองผิวเผิน เธอก็ใจดี ไม่ติดใจเอาความ ไม่ผูกพยาบาท อาฆาต
5) เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเลย เป็นเรื่องของคู่กรณี แต่จะเข้าใจภาพใหญ่ของเรื่องนี้ ต้องไปดูอีกคดีที่ศาลยกฟ้อง ที่ยิ่งลักษณ์ฟ้องชวนนท์ คดี ว.5 เหมือนกัน คดีนั้นศาลชี้ว่า เป็นการติชมโดยบริสุทธิ์ใจ ทำตามหน้าที่ (โฆษกพรรค) ในการตรวจสอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงต้องดูว่า เนื้อหาในรายการ “สายล่อฟ้า” มัน “เลยเถิด” ไปอย่างไร ถึงกลายเป็น “ความผิด”
6) ความจริง ว.5 มี 2 ประเด็น ประเด็นหลักคือ ไปพบนักธุรกิจทำไม ก่อนหน้านี้ นักธุรกิจขอพบอย่างเป็นทางการ ไม่เคยให้พบ แต่ลอบไปพบเป็นการส่วนตัวกับนักธุรกิจเพียงกลุ่มเดียว คนเป็นนายกฯ รัฐมนตรี มีพฤติกรรมอย่างนี้ ชวนให้เคลือบแคลงว่าไปตกลงผลประโยชน์อะไรกันใช่ไหม ---ประเด็นนี้เป็นประเด็นสาธารณะ—ประโยชน์สาธารณะ
7) แต่มันดันมีประเด็นที่ 2 ออกมา จากการให้ข้อมูลของนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่ไปเจอว่ายิ่งลักษณ์ขึ้นลิฟท์ นักธุรกิจชาย ที่เคยมีข่าวพากันก็ขึ้นลิฟท์ กล้องวงจรปิดก็หาย อะไรทำนองนี้ จึงถูกผูกเรื่องเป็นเรื่องชู้สาว จนศัพท์ ว.5 กลายเป็นเรื่องพรรค์นั้นไป และสุดท้าย เอกยุทธกลายเป็นศพ แต่นั่นก็เป็นอีกคดีหนึ่ง เป็นเรื่องคนขับรถชิงทรัพย์
8) เรื่องนี้จึงเป็น “บทเรียน” สำหรับเราทุกคน ว่า การติชม ด่าทอ ต่อว่า บุคคลสาธารณะนั้น มี “ขอบเขต” มีกฎหมายคุ้มครอง จะคึกคะนองไปจนถึงขั้น “ใส่ความ” กัน หรือทำให้เป็นที่ดูถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ย่อมมิได้
9) ประเด็นสุดท้ายเรื่องการโพสต์ขอโทษ ของนายศิริโชค เราก็ไม่รู้ว่าเขาคุยกันไว้อย่างไร แต่ปกติก็ไม่เคยเห็นว่าโพสต์ขอโทษวันเดียวแล้วลบทิ้งไป โดยมาก จำเลยต้องตีพิมพ์คำขอโทษในสื่อสิ่งพิมพ์ 3 วัน 7 วัน ด้วยซ้ำ พอเกิดกรณีศิริโชคโพสต์วันเดียวแล้วลบ จึงเป็นประเด็นที่คนรู้สึกว่า ไม่แมน! ไม่จริงใจ! ไม่ได้สำนึกผิดจริงๆ นี่หว่า
สถานการณ์จึงพลิกกลับมาเป็นโทษกับศิริโชค และอีกฝ่ายก็โยกยิ่งลักษณ์ขึ้นทำเนียบ “แม่พระ” ในบัดดล!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี