เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนหัวหน้าพรรคชาติไทย ส่วนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน? ต้องรอดูต้นเดือนหน้า บางพรรคไม่เปลี่ยนมีแต่ยุบ บางพรรคเกิดใหม่ เปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง แต่การที่เว้นวรรคทางการเมืองมานาน จะมีผลต่อการเปลี่ยนความคิดของประชาชน
หรือไม่? แต่ที่แน่ๆ วันนี้เปลี่ยนใจเปลี่ยนอุดมการณ์ อดีตสส.ไปหลายคน
ปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเกิดจากการไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือในการเลือกตั้งครั้งนี้ เกิดจากการที่ประเทศไม่ได้เลือกตั้งเป็นเวลานาน นั่นคือการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย 2554 อะไรที่ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ 7 ปี ที่ผ่านมา กระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาของบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป ปัจจัยปัญหาของประชาชนก็เปลี่ยนไปที่บางกลุ่มมองว่ากำลังเผชิญปัญหา บางกลุ่มบางชนชั้นกลับได้ประโยชน์ ตลอดจนถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน?
ขั้วอำนาจเปลี่ยน
ขั้วอำนาจทางการเมืองตั้งแต่ปี 2543-2554 ที่เป็นการต่อสู้ของขั้วพรรคประชาธิปัตย์และขั้วระบอบทักษิณ แม้จะมีรัฐประหารมาแทรกในปี 2549 แต่เลือกตั้งเสร็จก็กลับเข้าสู่ความขัดแย้งของสองขั้วเหมือนเดิม แต่ตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ขั้วอำนาจได้เปลี่ยนใหม่เป็นสามฝั่งอย่างชัดเจน และเชื่อว่าจะยังคงอยู่แม้เลือกตั้ง ก.พ.2562 จะเสร็จสิ้นแล้ว นั้นคือ ขั้วพรรคประชาธิปัตย์ ขั้วพรรคเพื่อไทย และขั้วทหารที่มีอำนาจในปัจจุบันและกำลังมีบางส่วนเข้าสู่การเลือกตั้งในครั้งหน้าส่วนพรรคอื่นที่เกิดขึ้นใหม่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไรใหม่ และก็พอคาดเดาได้ว่าเมื่อมีการแบ่งขั้วการเมืองแล้วจะไปอยู่ขั้วใดกันบ้าง
กติกาเปลี่ยน
กติกาที่เปลี่ยนไป และการอยู่ในอำนาจ คสช.ที่ยาวนาน นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมของระบบราชการ ที่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นการเดินหน้าหรือถอยหลัง ตลอดจนการออกกฎหมายเกือบ 400 ฉบับ ที่มีผลต่อกติกาบ้านเมืองหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุด นวัตกรรมที่เรียกว่าคำสั่ง คสช.ในม.44 ที่นำมาสู่กติกาที่คาดเดาไม่ได้?
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ได้วางกติกาที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งดูเหมือนจะหยิบยื่นอำนาจให้ประชาชนแต่แท้จริงกลับเป็นการเพิ่มอำนาจให้ราชการหรือไม่? โดยการออกกฎกติกาต่างๆ ผ่านกฎหมายลูก และกฎกระทรวงชุดใหม่อีกมากมาย หนึ่งในชุดกฎหมายที่สำคัญและเปลี่ยนแปลงไป คือ กฎหมายท้องถิ่น 6 ฉบับ และกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มาของ สส.และสว. ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองไทยหลังจากนี้
นอกจากจำนวนสส.ที่เปลี่ยน รูปแบบการเลือกตั้งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อ สส. โดยเฉพาะระบบบัญชีรายชื่อ ที่มีผลให้เกิดพรรคใหม่ๆ จำนวนมาก ยังมีเรื่องของโครงสร้าง สว.ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเรื่องของที่มาและอำนาจ ที่นอกจากจะทำให้มีที่มาที่เกี่ยวเนื่องกับคสช.ชุดปัจจัยแล้ว ว่าที่สว.ทั้งหลายยังมีผลอย่างมากต่อการกำหนดผลนายกฯ จากสภาผู้แทนฯหลังการเลือกตั้ง
ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐในช่วงท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่ถูกวิจารณ์ว่าเวลาในการหาเสียงให้กระชั้นไป อาจทำให้ผู้สมัครมีเวลาลงพื้นที่น้อย และส่งผลต่อการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์ ซึ่งจะมีผลมากเพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เว้นจากครั้งก่อนหน้าถึง 7 ปี แม้ประกาศแล้วว่าคลายล็อกแต่ก็คลายล็อกเพียงบางส่วนเท่านั้น และยังถูกบีบด้วยกติการอบด้านจากคำสั่งคสช. กกต. และรัฐที่แตกต่างจากการเลือกตั้งทุกครั้ง อาทิ เงื่อนไขในการประชาสัมพันธ์ที่ห้ามแบบกว้างๆ ไว้ด้วยนิยามว่าห้ามหาเสียง? สำทับด้วยคำให้สัมภาษณ์ของรองนายกฯฝ่ายกฎหมายที่บอกว่า “ขอย้ำว่าพรรคการเมืองหาเสียงไม่ได้ในทุกช่องทาง ไม่ใช่เฉพาะในโซเซียลมีเดีย แต่จะหาเสียงได้เมื่อปลดล็อกทางการเมืองแล้วเท่านั้น” เช่นนั้นหรือ? ซึ่งเรื่องแบบนี้ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ขยับตัวยากและต้องระมัดระวังข้อกฎหมายอย่างละเอียด การลงพื้นที่แบบทางการก็ยังไม่สามารถทำได้
อุดมการณ์เปลี่ยน
การย้ายพรรคของ อดีต สส.ทั้งหลายในรอบนี้ที่ไม่ใช่แค่ย้ายตามพลังดูดอำนาจรัฐเพียงอย่างเดียว ยังพบการย้ายฝั่งอุดมการณ์ สุดด้านไปอีกด้าน อาทิ ประชาธิปัตย์ไปเพื่อไทย เพื่อไทยไปพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ไปพลังประชารัฐ หรือแม้กระทั่ง พลังชลที่ยุบรวมเข้ากับพลังประชารัฐ จะด้วยเงิน อุดมการณ์ หรืออำนาจที่เปลี่ยนไป หรือย้ายเพราะกลัวคดี ก็นับได้ว่าวิถีแบบนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย ไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ก็มี สส. หน้าเก่าวนเข้ามาไม่ต่างกันแต่ด้วยพรรคที่เกิดขึ้นใหม่มากมาย แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดนักการเมืองใหม่ในพรรคใหม่แต่กลับทำให้อดีต สส.เป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ค่าตัวของนักการเมืองเก่าไม่พอไล่ไปจนถึงการดูด สก. มาลง สส.ก็ไม่น้อย
ความคิดประชาชนเปลี่ยน?
กระแสการเมืองโลกในปัจจุบัน กำลังไหลมาสู่เอเชียและไทยหรือไม่? นั่นคือมีทิศทางต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วของหลายประเทศ อันเนื่องจากปัญหาภายใน เศรษฐกิจ และความขัดแย้งระดับชนชั้นหลายๆ ประเทศ นำไปสู่ความต้องการที่เปลี่ยนไปของประชาชนโดยเฉพาะในระดับกลางและล่าง อย่างสหรัฐอเมริกา เมื่อ 2 ปีก่อนตามมาด้วยอีกหลายประเทศที่ความต้องการการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความต้องการผู้นำคนรุ่นใหม่ อาทิ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ประเทศออสเตรเลีย และประเทศแคนาดา ซึ่งหลายฝ่ายก็คาดว่า กระแสนี้อาจมีผลกระทบเอเชีย หรือไม่
อันเป็นที่มาของการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ ที่พยายามโชว์จุดขายความแตกต่างที่สุดขั้ว ระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แต่ดูเหมือนการเลือกตั้งมาเลเซียล่าสุดจะไม่ได้บอกอย่างนั้น จึงคาดเดาไม่ได้ว่าอนาคตเลือกตั้งไทยพร้อมจะเปลี่ยนแต่เปลี่ยนไปแบบไหน?
คำสัญญาของรัฐบาล คสช.ที่ว่าจะทำทุกอย่างให้เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และปากท้องประชาชนดีขึ้นผ่านไป 4 ปี รัฐบาลก็ประกาศว่าเศรษฐกิจดีขึ้นจริง ซึ่งหากดูตัวเลขมหภาค ก็ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจนั้นดีขึ้นจริง ดังปรากฏในดัชนีชี้วัด GDP ที่สูงขึ้น และอัตรากำไรในตลาดหลักทรัพย์ฯที่เพิ่มสูงขึ้น กว่า 52% ในปี 2558-2560 ซึ่งก็ไม่ได้มีใครปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง หากแต่ตัวเลขนี้สะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนว่าดีขึ้น แล้วจริงหรือ? เพราะตัวเลขที่ปรากฏล่าสุดนั้นพบรายได้ต่อครัวเรือนและภาระหนี้สินของเกษตรกร มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่าของรายได้ต่อเดือน ในช่วงปี 2556-2560
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมา การเมืองฝ่ายต่างๆ ที่ขัดแย้ง ตลอดรวมถึงการบริหารงานของรัฐบาล คสช. ได้สร้างความเบื่อหน่าย สิ้นหวัง ให้กับประชาชนต่อทุกขั้ว ซึ่งกำลังจะกลายเป็นความสั่นคลอนต่อความเชื่อมั่นของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่?
ด้วยปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวมกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใหม่อีกกว่า 6 ล้านคนในรอบนี้ จึงคาดเดาได้ยากว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือกใคร พรรคใด?
“...คนเกียจคร้านย่อมมีเหตุผลข้ออ้างอย่างเปี่ยมล้น...”
โกวเล้ง จากเรื่องวีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี