ความรักชาติ (Patriotism) นั้นเป็นคนละเรื่องกับชาตินิยม (Nationalism)
คนเรานั้นต่างรักชาติของตน ก็เพราะเป็นแดนที่เกิดและเติบโต จึงรู้สึกผูกพัน และรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของร่วม รู้สึกว่าตนเองมีส่วนได้ส่วนเสียต่อความเป็นไปของชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่งผลให้เกิดความหวงแหน และดำเนินการปกป้องรักษา ทำนุบำรุง ปฏิบัติตน เพื่อความเจริญก้าวหน้า และความสงบสุขของตนเอง และส่วนรวม
ความรักชาติจึงเป็นเรื่องของการดูแลรักษาและเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง
ส่วนเรื่องชาตินิยมนั้น เป็นเรื่องของการเร้าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดว่า ชาติของตน ชาติพันธุ์ของตนนั้น มีความเป็นพิเศษที่โดดเด่นเหนือชนชาติอื่น ความเป็นชาตินิยมจึงปฏิเสธความหลากหลาย หรือความเป็นพหุสังคม พหุวัฒนธรรมที่ผสมอยู่ในสังคมประเทศนั้นๆ โดยมักยกเอาเรื่องจำนวนเผ่าพันธุ์ตนมาเป็นตัววัด และใช้พละกำลังเหนือกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ นอกจากนั้นแล้ว ความเป็นชาตินิยมนั้นยังปฏิเสธความเห็นต่าง หรือความแตกต่างทางความคิดความเชื่อถือโดยมีเป้าประสงค์ให้ทุกคน ทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนน้อยกว่า กำลังน้อยกว่า ต้องคล้อยตาม และยอมรับ (Conform) ความคิดความเชื่อของชาติพันธุ์ที่มากกว่า เหนือกว่า ที่ทำการสั่งการและครอบงำลงมา เช่น ในกรณีพลเมืองจีนเชื้อสายจีนฮั่น ได้ครอบงำชาติพันธุ์กลุ่มน้อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แมนจู มองโกลอุยกูร์ และทิเบต เป็นต้น หรือในกรณีพม่า ที่ชนชาติพันธุ์หลักคือ ชนพม่า (บะหม่า - Burmans)ครอบงำชนชาติพันธุ์อื่นๆ ซึ่งบานปลายไปเป็นการดำเนินการขจัดชาติพันธุ์มุสลิมโรฮีนจา ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
นั่นหมายถึง การสูญเสีย หรือการเจือจางลงของอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์กลุ่มน้อยต่างๆ ที่แต่เดิมได้ผสมอยู่ในรูปแบบพหุสังคมนั้นๆ
และเมื่อไหร่ก็ตาม ที่การเมืองประเทศใดๆ ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศแบบเอาเรื่องชาตินิยมเป็นตัวตั้ง เมื่อนั้นก็จะเกิดความรุนแรงที่มักนำไปสู่การเผชิญหน้า หนักเข้าอาจนำไปสู่สงคราม
เพราะชาตินิยมนั้นไม่ได้คำนึงถึงหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่างร่วมมือสร้างสรรค์ร่วมกัน หากแต่จะเอาความต้องการ หรือเอาผลประโยชน์ของชาติตนเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว
ที่เห็นๆ กันเด่นชัด ณ วันนี้ ก็คือพฤติกรรมของรัฐบาลจีน ซึ่งใช้นโยบายชาตินิยมเป็นตัวตั้งเพื่อต้องการเสียงการสนับสนุนจากประชาชนและทั้งในการกำหนดท่าทีต่อประเด็นปัญหารอบบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อพิจารณาดินแดนทั้งในทะเลและบนพื้นดิน การไม่เคารพกติการะหว่างประเทศ เช่น การต่อต้านการตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการถาวรระหว่างประเทศในเครือข่ายขององค์การสหประชาชาติในเรื่องสิทธิเหนือหมู่เกาะทะเลจีนใต้ ด้วยการจัดตั้งฐานทัพเรือและอากาศ เป็นต้น
ผลของชาตินิยมภายในประเทศก็คือ การกดขี่ประชาชนพลเมืองชนกลุ่มน้อย ส่วนในต่างประเทศก็คือ การเลือกที่จะเผชิญหน้าแทนการเจรจาต่อรอง (หรือวิถีทางแบบสันติทางการทูต) และที่สำคัญยิ่งของนโยบาย “ข้ามาคนเดียว”ก็คือ การครอบงำ หรือการแทรกแซงในองค์กรความร่วมมือส่วนภูมิภาค ไปจนถึงการเข้าไปแทรกแซง และสร้างความอ่อนแอให้กับองค์กรกลไกร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น ประชาคมอาเซียนซึ่งจีนได้เข้ามาแทรกแซงอย่างโฉ่งฉ่าง
พูดง่ายๆ ว่า ลัทธิชาตินิยม ในมิติระหว่างประเทศ ก็คือการเสริมสร้างความเป็นใหญ่ และการครอบงำประเทศรอบบ้านและภูมิภาคนั่นเอง
ส่วนภายในประชาคมอาเซียนกันเองนั้น จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร เพราะผู้นำแต่ละประเทศอาเซียน ต่างก็สาละวนกับเรื่องคะแนนเสียงของตนเองเป็นหลัก โดยการมุ่งแต่ผลประโยชน์ของชาติตนเป็นตัวตั้ง และให้เวลากับประชาคมอาเซียนกันแบบขอไปที แทนที่จะดำเนินนโยบายควบผลประโยชน์ของชาติตนกับของประชาคมอาเซียน ให้ก้าวหน้า ส่งเสริม
ซึ่งกันและกัน โดยไม่ได้ใส่ใจว่า หากประชาคมอาเซียนเข้มแข็ง อาเซียนก็จะมีอำนาจต่อรองในเวทีโลก ไม่เป็นเบี้ยล่างของใคร และไม่เป็นลูกไล่ใครซึ่งส่งผลดีต่อทุกประเทศสมาชิกโดยปริยาย
จนบัดนี้ ดูจากสถานการณ์แล้ว จะเปลี่ยนใจบรรดาผู้นำให้หลุดพ้นจากลักธิชาตินิยม ให้ก้าวไปสู่ การคิดทำแบบพหุนิยมทั้งในและนอกประเทศ ก็คงจะยากอยู่ ดังนั้น ภาระก็ต้องตกเป็นของพลเมืองชาติต่างๆ รวมทั้งชาวอาเซียน ที่จะต้องร่วมกันผลักดัน และนำพาด้วยจิตสำนึกสาธารณะ เอาเรื่องส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ทั้งเรื่องภายในและนอกประเทศ มิเช่นนั้นแล้ว คงยากที่ลูกหลานมนุษยชาติในอนาคต จะสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี