ท่านผู้อ่านไม่เคยแปลกใจบ้างหรือว่าเหตุใดสหรัฐอเมริกาจึงก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้ก่อนประเทศอื่นๆ รวมถึงยุโรปตะวันตก อังกฤษนั้นเราถือกันว่าเป็นแม่แบบของระบบรัฐสภา แต่ประชาธิปไตยกลับไปเกิดที่สหรัฐฯ ก่อนประเทศอื่นๆ ในยุโรป
เหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนทราบมาก็คือ สังคมในอาณานิคมอเมริกันก่อนจะเป็นอิสรภาพจากอังกฤษ ได้เริ่มเรียนรู้เรื่องการปกครองตนเองอยู่ก่อนแล้วโดยในแต่ละเมือง (Township) มีระบบ “สภาเมือง (Town-Council) ประกอบด้วยกรรมการสภา ที่ประชาชนเลือกให้เป็นตัวแทนของประชาชนในเมืองนั้น และสภาเมืองก็มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย การก่อสร้างถนนหนทาง การตัดสินคดีความ การจัดการศึกษา เป็นต้น
แต่การมีสภาเมือง ก็อาจจะไม่ทำให้อเมริกาแตกต่างจากอังกฤษเพราะอังกฤษก็มีสภาเมืองเพื่อดูแลท้องถิ่นของตน เป็นแม่แบบให้แก่อาณานิคมในทวีปอเมริกา (เหนือ) อยู่แล้ว ที่น่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้ระบบการปกครองของสหรัฐฯ ก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยรวดเร็วยิ่งขึ้น น่าจะมาจากระบบการเลือกตั้ง ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ ในสังคมอเมริกา ทั้งการเลือกตั้งในเมืองเล็กๆ และการเลือกตั้งในระดับมลรัฐ และในระดับสหพันธรัฐ(Federation) คือระดับประเทศ และที่สำคัญเช่นกันคือ การเลือกตั้งสภาผู้แทนในระดับต่างๆ เหล่านี้ จะมีทุกๆ 2 ปี ซึ่งการเลือกตั้งบ่อยๆ เช่นนี้น่าจะตราตรึงความสนใจของประชาชนในเรื่องการเมืองของมลรัฐ และสหพันธรัฐไว้อย่างแนบแน่น ประกอบกับสื่อมวลชนก็ให้ความสนใจในเรื่องการเลือกตั้งเหล่านี้ ทำให้ประชาชนอเมริกันสนใจเรื่องการเมือง ขณะเดียวกันก็มองเรื่องการแพ้หรือชนะในการเลือกตั้งแบบนักกีฬา หากแพ้วันนี้ อีก 2 ปีก็มีโอกาสแก้ตัว ตลอดจนการผลัดกันแพ้และชนะ ก็ฝึกอุปนิสัยของชาวอเมริกันให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา และมองการขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้นำไปสู่ความอาฆาตมาดร้าย หรือเป็นศัตรูกัน เพียงแต่ละคนก็เล่นบทบาทของตนเองต่อไปด้วยมารยาทและวัตรปฏิบัติตามมาตรฐานของสังคมผู้มีการศึกษา การเมืองจึงมิใช่การสร้างศัตรูตลอดกาล แต่เป็นการร่วมมือกันหรือแยกกันตามจังหวะและประเด็น อีกทั้งพรรคการเมืองก็มิได้ดำรงอยู่เป็นพรรคเดิมตลอดไป
โดยสรุปการเมืองในสหรัฐฯ และพรรคการเมืองจะปรับตัวรวดเร็วและไม่มีใครสูญเสียน้ำตา เพราะเกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น ฉะนั้นจึงอย่าได้ประหลาดใจที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวประพฤติปฏิบัติที่ค่อนข้างนอกเหนือความคาดหมายของมาตรฐาน “Normal” (นอร์มาล)
ที่กล่าวอารัมภบทมาค่อนข้างยืดยาวเช่นนี้ ก็เพื่อจะปลอบประโลมใจผู้อ่านที่สนใจการเมือง รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่าพรรคการเมืองที่เก่าจนเกือบจะกลายเป็นสถาบันทางการเมืองเช่นนี้ก็มีศักยภาพที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่ยุคใหม่ ที่ส่งเสริมการแข่งขันภายในพรรคอย่างสุภาพบุรุษ เพื่อแสดงให้สังคมได้เรียนรู้ว่าการเมืองเป็นเรื่องที่มีทั้งความร่วมมือและการขัดแย้ง ขอเพียงทุกฝ่ายเคารพกติกาของสุภาพบุรุษ ที่ไม่ต่อยใต้เข็มขัด ไม่ลอบทำร้ายกันแบบมหาโจร และที่สำคัญนักการเมือง “ต้อง” พูดภาษาเดียวกัน เข้าใจว่าอะไรผิดอะไรถูกตามมาตรฐานเดียวกัน เมื่อแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ มิใช่ตามไปลอบกัดอยู่ร่ำไป
ในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเราจึงต้องมีระบบศาลยุติธรรมที่มีอิสระ (อิสระจากการกดดันและอิทธิพลต่างๆ ในสังคม) การคัดเลือกและแต่งตั้งผู้พิพากษาจึงยึดโยงกับระบบคุณธรรม การอ้างถึงการยึดโยงไปสู่ระบบการเลือกตั้งหรือฐานคะแนนนิยมจากเสียงประชาชนจึงเป็นตรรกที่ผิดเพี้ยนไปจากระบบคุณธรรมและยอมรับมิได้ และการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อล้มล้างความผิดที่นักการเมืองได้กระทำมาแล้ว จึงไม่สอดคล้องกับคติธรรมของระบอบประชาธิปไตย
ที่สำคัญสำหรับทุกพรรคที่ปรารถนาจะเป็นสถาบันการเมืองหรือดำรงอยู่ต่อไปเพื่อรับใช้สังคมและประเทศชาติ ควรคำนึงไว้เสมอก็คือสถาบันใดหรือองค์กรใดหากขาดกลไกเพื่อปรับเปลี่ยนจากภายใน สถาบันนั้น-องค์กรนั้นจะดำรงอยู่มิได้ในอนาคต
ผู้เขียนจึงยินดีที่จะได้เห็นพรรคประชาธิปัตย์มีความกล้าหาญที่จะปฏิรูประบบการคัดเลือกผู้สมัคร โดยให้คณะผู้บริหารของสาขาพรรคมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัคร และอาจก้าวไปถึงระบบไพรมารี (Primary) เพื่อทดสอบคะแนนนิยมของผู้สมัครแต่ละเขต
นอกจากนั้นในการแข่งขันระหว่างผู้สมัครเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งมีทั้งหมด 3 ท่านด้วยกัน ได้มีโอกาสฟังคุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่าเป้าหมายหลักของหัวหน้าพรรคในอนาคตควรมี 2 ประการที่สำคัญ คือ ประการแรก จะกำหนดเป้าหมายการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญมั่งคั่งอันดับต้นๆ ของโลก และประการที่สอง จะขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นจากวงการราชการและการเมือง ซึ่งเป็นการกำหนดเป้าหมายที่ยึด “ผลประโยชน์นิยม” เป็นหลักสำคัญ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปัจจุบันก็เน้นประเด็นไม่เอาทั้งการทุจริตและเผด็จการนัยหนึ่งยังคงยึดอุดมการณ์ดั้งเดิมของพรรคมาตลอด และสำหรับคุณอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะเคยเป็นรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศก็คงหนุนการปฏิรูปต่างๆ ที่สภาได้เสนอมาแล้ว
ความคาดหวังของประชาชนส่วนหนึ่งที่นิยมประชาธิปัตย์ก็คือ ภายหลังจากจบสิ้นกระบวนการแข่งขันแล้ว ไม่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดได้รับการคัดเลือก ก็สมควรที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพรรคไว้ให้ได้ และควรให้เกียรติแก่อีก 2 ท่านผู้สมัคร โดยส่งเสริมให้มีบทบาทที่สำคัญของพรรคต่อไป รวมทั้งกลุ่มพลังภายในที่มีศักยภาพจะขยายฐานของพรรคเพื่อชัยชนะในโอกาสข้างหน้า
นอกจากความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยก็น่าสนใจ ที่สำคัญคือมีการกระจายความเสี่ยงออกไปในหลายๆ จุด หรืออีกนัยหนึ่งอาจมีการวิเคราะห์ตลาดการเมือง และจัดตั้งพรรคการเมืองหลายๆ พรรคเพื่อดึงดูดเป้าหมาย (ผู้เลือกตั้ง) ที่อาจจะแตกต่างหรือมีจุดสนใจต่างกัน เช่น กลุ่มเป้าหมายของชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ ก็ได้เกิดพรรคการเมืองชื่อพรรคประชาชาติ ซึ่งมีคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภาเป็นหัวหน้าพรรค หรืออีกพรรคหนึ่งที่ชื่อว่าพรรคเพื่อธรรมโดยมีคุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรคซึ่งอาจจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นพิเศษ (ทางศาสนา?) และพรรคเพื่อชาติ โดยมีคุณยงยุทธ ตริยะไพรัช เป็นแกนนำ ตลอดจนพรรคอื่นๆ อีกเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายตามแนววิเคราะห์การแบ่งส่วนของตลาดการเมือง เช่น พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งนายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ริเริ่ม ได้ประกาศชัดเจนที่จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ผู้ไม่เคยได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมาก่อน และมีจำนวนหลายล้าน คนเหล่านี้คิดอย่างไรในประเด็นการเมือง ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ก็ชูธงไว้ 2 ประการอย่างแน่ชัดว่าจะรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ(หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด?) และต่อต้านทหาร การเมืองของพรรคอนาคตใหม่จึงเป็นการเมืองเรื่องอุดมคติ ซึ่งสังคมไทยได้ผ่านมาแล้วหลายสมัยอย่างน่าเข็ดขยาด
อย่างไรก็ตามการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมีการวิเคราะห์ตลาดการเมืองตามลักษณะของภูมิภาค ชนชั้นทางสังคม และกลุ่มอายุ และใช้กลยุทธ์ที่จะตอบปัญหาเฉพาะกลุ่มให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งระบบอินเตอร์เนตและเฟซบุ๊คจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญ
โดยสรุปการเลือกตั้งครั้งนี้มีความน่าสนใจหลายประเด็น เพราะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่หลังจากว่างเว้นการเลือกตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.2554 หรือ 7 ปีมาแล้ว การรณรงค์ไม่น่าจะเน้นหนักไปในเรื่องอุดมการณ์ แต่น่าจะหนักไปทางเรื่องปากท้องและวิสัยทัศน์ของสังคมในอนาคต และอาจจะไม่มีพรรคการเมืองใดได้คะแนนนำโด่ง แต่คงมีพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กมากมาย
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี