ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย : ประชาชนจะต้องศึกษาเรียนรู้ให้ความสำคัญ จึงจะเข้าใจ รักและหวงแหน
เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
วันนี้ พ่อ จะพูดเรื่องสำคัญของประชาชน และบ้านเมืองของเรา คือ “ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย”
ทำไม “พ่อต้องพูด” และทำไม “ต้องพูดกับลูก”และลูกต้องฟังให้เข้าใจ เพื่อนำเอาไปใช้ในชีวิตของลูก
1. ไม่ว่า “ลูก จะมีอาชีพ มีกิจกรรมอะไร ? ลูกจะต้องตั้งใจฟัง เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
นอกจากนี้ ลูกต้องไปศึกษาเรียนรู้ ด้วยการปฏิบัติในชีวิตจริง ชีวิตการงานของลูก ได้อย่างถูกต้อง : เพราะ
1.1 “ประชาธิปไตย คือ หัวใจ ที่จะทำให้การงานในหน้าที่ของลูก ดำเนินไปด้วยดีเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่”
1.2 ประชาธิปไตย มิใช่สมบัติของนักการเมือง ผู้นำ นายทุน นักธุรกิจ หรือของใคร แต่เป็นของประชาชนทั้งชาติ
1.3 ประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์ ต่อประชาชนทุกคน และต่อประเทศชาติอันเป็นที่รัก
คือ ต้อง เป็นประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยคนส่วนมากเข้าใจได้ค่อนข้างดี
สำหรับประชาธิปไตยทางการเมือง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยทางสังคม
1.4 แต่สำหรับประชาธิปไตยทางวัฒนธรรม คนยังขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ความจริงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่เกี่ยวกับความรู้ความคิดและจิตสำนึกของประชาชน
ในทุกด้านของประชาธิปไตย จนมาถึง วัฒนธรรม ประเพณี ชีวิตความเป็นอยู่ และประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยในอดีตที่ผ่านมา มาถึงปัจจุบันและก้าวข้ามไปยังอนาคต
เพราะสังคมไทยขาดและไม่ให้ความสำคัญแก่ “ประชาธิปไตยทางด้านวัฒนธรรม ความรู้ความคิดฯ” จึงไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ต่อ คุณค่าความหมายของประชาธิปไตย ที่มีต่อตัวเอง ชุมชน และบ้านเมือง
ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยคิด ไม่ได้คิดอย่างลึกซึ้ง ที่จะเข้าใจปัญหาเรื่องราวในอดีต และปัจจุบัน
ที่สำคัญ คือ ไม่รู้จักและไม่เห็นคุณค่าของการสรุปบทเรียนของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบันอันเป็นเหตุให้เรา ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่อาจก้าวออกไปจากวงจรอุบาทว์ ที่กักขังความคิดและตัวเรา
แล้ว เรา จะคุยแลกเปลี่ยนเรื่องนี้ ในโอกาสต่อไป
2. พ่อ ได้พูด “ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย” ในส่วนที่เกี่ยวกับชุมชน สังคม และบ้านเมืองไปในระดับต้น
2.1 แต่ พ่อ จะพูดต่อ ถึง “ ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของครอบครัว “สุรวิชัย” ของเรา
เพราะคนในตระกูลของเรา มีส่วนร่วมในการสนับสนุนประชาธิปไตย ทั้งลูกทั้งสอง ที่ไปร่วมเหตุการณ์ 17 พฤษภาคม 2535ในขณะเป็นเด็ก วัย 8 และ 7 ขวบ และเหตุการณ์การต่อสู้ของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ กปปส. ติดต่อกันมา ตั้งแต่ ปี 2549-2557 รวมทั้งแม่จุก ที่ร่วมมาตั้งแต่เป็นนิสิตในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และร่วมมาทุกเหตุการณ์
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย จนถึงวันนี้และต่อไป โดยเฉพาะตัวพ่อ ที่ถูกขานนามว่า “คนเดือนตุลา” เป็น “ยอดปลาย
ของเหตุการณ์ประชาธิปไตยของประเทศ” ที่มีการช้านาน และมาตกผลึกเป็นรูปธรรมในเหตุการณ์ ที่ถูกเรียกและรับรู้กันว่า
“เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย” คือ 24 มิถุนายน 2475 ที่นำโดยคณะราษฎร์ ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และเป็นกิ่งก้านต้นๆ ของเหตุการณ์ประชาธิปไตย ครั้งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ที่มีปวงประชาชนเรือนหลายแสนออกมาร่วมเรียกร้อง และชุมนุมตั้งแต่ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาเต็มถนนราชดำเนิน
โดยเฉพาะที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (ที่เป็นภาพที่สวยสดงดงามที่มีประชาชนนับไม่ถ้วน รวมเติมเต็มภาพประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ เป็นประวัติศาสตร์) และต่อมาที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
และมาถึงถนนหน้าสวนจิตรฯ เพื่อมาพึ่งพระบารมีของในหลวงรัฐกาลที่ 9 ในคืนวันจบตกลงกันได้ 13 ตุลา และวันเปิดฟ้า
ประชาธิปไตย ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ก่อนจะจบปิดฉากลงด้วย “การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจอมพลถนอมกิตติขจร และการบินออกไปของผู้นำที่กลายเป็นอดีตทั้งสามคน
คือ จอมพลถนอม จอมพลประภาส และพันเอกณรงค์ กิตติขจร และมีนายกพระราชทานฯ นามอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
ซึ่งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และทุกเหตุการณ์สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อมาถึงปัจจุบัน
“พ่อ” และเพื่อนมิตรบางส่วน อยู่ตั้งแต่เริ่มต้น ระหว่างการต่อสู้ และถึงตอนท้ายสุดหลังจากเหตุการณ์จบลง
เพราะ “ภารกิจประชาธิปไตย” เป็นของประชาชนคนไทย ที่เรารัก เคารพ ประวัติศาสตร์และเคารพความจริง
และที่สำคัญ ต้อง “เอาจริง” ลงคิดลงแรง ให้ชีวิตและทุกอย่างในชีวิต กล้าสละให้แม้ชีวิต เพื่อประชาธิปไตย
รวมทั้งที่สำคัญ ที่มีเหลือนักประชาธิปไตย-คนเดือนตุลา น้อยลง คือ “การยืนหยัดและการเป็นแบบอย่าง”
เอาจริงเอาจัง ไม่แปรเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลง“เก็บประชาธิปไตยไว้ในลิ้นชัก หรือทิ้งไว้กลางถนนราชดำเนิน
แล้วตัวเองกลับกลืนน้ำลาย ให้กับ “อำนาจ ตำแหน่ง ฐานะ สส.รัฐมนตรี โดยยอมไปรับใช้คนไม่ดีบางคน”
แล้ว เราพ่อลูก คงจะได้พูดกันลงรายละเอียดเรื่องนี้ ในตอนต่อไป โดยเฉพาะ “การสรุปบทเรียนความจริง”ของเหตุการณ์ ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516-17 พฤษภาคม 2519จนมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่ยังไม่มีการสรุป เพราะ “บางส่วน อยู่ในบางเหตุการณ์ มาเข้าร่วมตอนกลางตอนปลาย บางส่วนจากมิตรสหาย ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามและหันปากกระบอกปืน อ้าวาจากล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งเพียงเพื่อปกป้องตนเอง
หรือการไม่กล่าวถึงอีก เพราะเป็นเรื่องของบกพร่องและความผิดอันร้ายแรง ที่หันไปคบกับศัตรูแทนฯ
2.2 พ่อ ขอกล่าวถึงลูก ถึงความจำเป็นและถือเป็นหน้าที่ลูก ที่จะต้องมารับมอบ รับรู้ ประวัติศาสตร์ของพ่อแม่
ไปร่วมส่วนต่อเนื่องกับประวัติศาสตร์ใหญ่ของประชาชน เป็นส่วนเล็กที่ต่อเติมเต็มกับส่วนใหญ่ของชาติ
เพราะ “ตระกูลเรา ได้มีกรอบคิดที่สืบทอดต่อมาอย่างยาวนาน โดยการเล่าต่อบอกความเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรุ่น
ของเราและรุ่นก่อน ให้รุ่นลูกรุ่นหลานฟัง เพื่อสืบสานต่อเนื่องกันด้วยวาจา ตามแบบแผนโบราณ
เพราะ “ลูก คือ ห้องสมุดหรือการบันทึกประวัติศาสตร์ของพ่อแม่ ของปู่ย่าตายายและวงศ์ตระกูล”
สมัยพ่อยังเด็ก ตอนค่ำหลังจากปิดร้าน กินข้าว อาบน้ำแต่งตัว ลูกๆ และเพื่อนๆ จะมานั่งล้อมวง
ฟัง “ป๋า” (พ่อของพ่อ) เล่านิทาน พงศาวดาร และเรื่องต่างๆ ที่สนุกสนาน และเมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์
(จุดสำคัญ) “ป๋า” หรือ คุณปู่บุญช่วย ก็จะหยุด และบอกว่า “หากอยากฟังต่อ ต้องนวดให้
“ปู่” จะมีการแทรกเรื่องราวของทวดบ้าง เป็นช่วงเป็นตอน รวมทั้งเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของปู่เอง
ที่ออกจากบ้านมาตั้งแต่หนุ่มกับพี่ชาย เพื่อมาปักหลัก“ก่อเนื้อสร้างตัว” จากหนุ่มลูกมือร้านใหญ่ จนสามารถเก็บหอมรอบริบ มาเปิดร้านชัยประสาน ในช่วงพบรักกับ“ย่าบุญจันทร์” ครูโรงเรียนประชาวิทย์ ที่มีวุฒิมัธยมปีที่ 6 (จากโรงเรียนเรยินาเชลีวิทยาลัยเชียงใหม่) ในสมัยปี 2484 อีกทั้งสวยงดงามด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี