ระหว่างค้นคว้าศึกษาเรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ ที่จัดทำในยุค คสช.
กำลังเป็นประเด็นถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ หน้าดำคร่ำเครียด
ข้อดี คือ ทำให้ได้เห็นข้อมูลมากมายที่มีการจัดเก็บ รวบรวม แต่ละด้าน ในเว็บไซต์ www.nesdb.go.th
ที่สะดุดใจ คือ เรื่องการค้าขาย “อี-คอมเมิร์ซ”
เห็นว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นโอกาสในการทำมาหากินสำคัญในโลกยุคใหม่
ไม่ต้องไปรอนักเลือกตั้งมาโยนเศษเนื้อข้างเขียงให้ ก็สามารถจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้
ลองพิจารณาข้อมูล ดังนี้
1. การช็อปปิ้งออนไลน์ สะดวก รวดเร็วกว่าซื้อของแบบเดิมๆ มาก
ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าแต่ละร้านได้ในเสี้ยววินาที
ผู้บริโภคจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
ไม่ต้องเสียเวลาฝ่ารถติดไปห้างหรือร้านค้า
การขยายตัวของการค้าขายออนไลน์จึงเติบโตต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าจะหยุด
ยิ่งระบบการจัดส่งสินค้าสะดวกรวดเร็วมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก ยิ่งเพิ่มแรงเติบโตทบทวีคูณ
2. รายงานผลสำรวจโดย eMarketer ระบุว่า มูลค่าของตลาดอี-คอมเมิร์ซทั่วโลกในปี 2560 สูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2559
จีนครองตลาดอี-คอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
อี-คอมเมิร์ซขยายช่องทางจากเว็บไซต์ ไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ ตั้งแต่แอพพลิเคชั่นมือถือ (Mobile Commerce) ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) เช่น Facebook, Instagram, Youtube, Twitter
ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้อินเตอร์เนตผ่านมือถือและสมาร์ทโฟน เฉลี่ย 3.6 ชั่วโมง/วัน
ใช้เวลาช็อปปิ้งออนไลน์ประมาณ 140 นาที/เดือน
ที่ผ่านมาจะเห็นว่า Amazon กับ Alibaba ต่างรุกเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Amazon เปิดศึกด้วยการเปิดตัวบริการ Amazon Prime Now ในสิงคโปร์
Alibaba อัดฉีดเงินลงทุนใน Lazada อี-คอมเมิร์ซที่มาแรงสุดในตลาดนี้ มูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ และเดินหน้าจับมือกับรัฐบาลในแต่ละประเทศ เช่น
เปิดเขตการค้าเสรีดิจิทัล (Electronic World Trade Platform: eWTP) ในมาเลเซีย
ที่สำคัญ จับมือกับรัฐบาลไทย พัฒนาทักษะผู้ประกอบการไทย และลงทุนใน Smart Digital Hub ภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (Eastern Economic Corridor : EEC)
3. สำนักข่าวออนไลน์ Tech in Asia และบริษัท iPrice Group วิเคราะห์ภาพรวมของตลาดอี-คอมเมิร์ซ 6 ประเทศในภูมิภาคนี้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย พบว่า Mobile Commerce เป็นตลาดที่มาแรง อัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 19%
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) คาดการณ์ว่า ตลาดอี-คอมเมิร์ซของไทยจะโตขึ้น 8% จาก 2,812,592 ล้านบาทในปี 2560 เป็น 3,058,987 ล้านบาทในปี 2561
และน่าจะแตะ 3,058,987 ล้านบาทในปี 2562
ตัวเลขนี้ มหาศาลมาก!!!
4. ตลาดที่น่าจับตามอง คือ Social Commerce เป็นแพลตฟอร์มที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด คิดเป็น 40% โดยเฉพาะ Facebook ที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด
ส่วนตลาดประเภท E-Marketplace เช่น Lazada, Shopee กินส่วนแบ่งรองลงมา 35%
ตามมาด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ของแบรนด์และธุรกิจค้าปลีก เช่น Central, Big C, Lotus คิดเป็น 25%
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ บรรดาผู้ประกอบการยุคปัจจุบัน พ่อค้าแม่ขายที่มีหน้าร้าน มีร้านค้าเดิม ยังจะต้องค้าขายผ่านออนไลน์ด้วย มิฉะนั้น ก็จะเสียโอกาสมหาศาลนี้ไป
5. ผู้ประกอบการเดิม ผู้ประกอบการใหม่ จะต้องรู้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้
รวมไปถึงผู้ผลิตสินค้าเกษตร ชาวไร่ ชาวสวนบ้านเรา ถ้าใครรู้ทัน ปรับตัวได้ คว้าโอกาสโดน จะรวยไม่รู้เรื่อง
หน่วยงานภาครัฐ ต้องเร่งเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีความรู้และทักษะด้านดิจิทัล
ไม่ว่าจะเป็น การใช้สื่อโซเชียลมีเดียโปรโมทสินค้า การพัฒนาระบบดิจิทัล การศึกษาความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิทัล การศึกษาตลาดในต่างประเทศ ฯลฯ
วิธีการดีที่สุด เอาชาวบ้านที่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวรับมือได้ดีเป็นแบบอย่าง เพราะชาวบ้านจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยคิดว่า เขาเป็นชาวบ้านเหมือนเรา เขาทำได้ เราก็ทำได้ ไม่ยากเกินไป ไม่ไกลเกินฝัน
6. ถามว่า เรื่องนี้ อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ หรือไม่?
คำตอบ คือ อยู่
ถามว่า แล้วมันดีไหม? คำตอบ คือ ดีสิ ดีแน่ถ้าทำกันจริงๆ และทำต่อเนื่อง
ดีสำหรับคนทำมาหากิน ที่ไม่ได้คอยแบมือขอเศษเงินจากนักเลือกตั้ง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี