ในช่วงวันหยุดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากข่าวเรื่องการเลือกตั้งซึ่งเข้มข้นขึ้นตามลำดับ ก็ยังมีข่าวดี ข่าวใหญ่ เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้
นับว่าเป็นข่าวสำคัญอันดับหนึ่งของชาติ ซึ่งคาดหวังว่าจะมีการนำเสนอโดยทีมโฆษกของรัฐบาล เพื่อชี้แจงรายละเอียดพอสมควรให้ชาวไทยได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในแนวทางซึ่งจะเป็นกรอบสำหรับทุกๆ รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศใน 20 ปีข้างหน้า แต่ก็รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เห็นการชี้แจงตามความคาดหวัง
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์หลายฉบับก็นำมาสรุปความไว้บ้าง โดยให้จุดเน้นตามความถนัดของผู้เขียน
อันที่จริง พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล อาจถือเป็นโอกาสที่จะอธิบายสรรพคุณของยุทธศาสตร์ 20 ปี ให้ชาวไทย-สังคมไทยได้ตระหนักในปัญหาของชาติ ทั้งด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ ตลอดจนข้อเสนอในการปฏิรูปด้วยภาษาง่ายๆ ที่ชาวบ้านสามารถเข้าใจได้ และพยายามลดทอนลีลาการรณรงค์หาเสียงประเภทสาดโคลนหรือวาทกรรมเกลียดชัง สังคมไทยคงจะเอือมระอากับวัฏจักรชั่วร้ายของการเมืองไทยที่มีรัฐประหารสลับกับการเมืองน้ำเน่า-การเดินขบวนป่วนเมือง-และการรัฐประหารสังคมไทยน่าจะพอใจที่จะเลือกพรรคที่ดำเนินนโยบาย“สายกลาง” ไม่สุดโต่งทั้งซ้ายหรือขวา เลือกที่จะประนีประนอมเสียมากกว่า ประเภท “ข้าเก่งมาคนเดียว” น่าจะค่อยๆ หมดไป
ขณะที่ในเรื่องการเมือง การเดินสายกลาง และการประนีประนอมน่าจะเป็นทางออกของสังคมไทย แต่ในเรื่องการศึกษา ซึ่งผู้เขียนเกี่ยวข้องมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ อาจจะมีการประนีประนอมกันมากจนเกินไปเสียอีก ที่กล่าวเช่นนี้ อาจเข้าใจยาก และทำให้ผู้อ่านสับสน พูดอีกนัยหนึ่งในวงการการศึกษาของไทยอาจเปรียบประดุจวงของดาราที่มีทุกสีสัน มีทุกๆ รูปแบบ และสารพัดโครงการที่ดีๆ ทั้งหลายจากทั่วโลก แต่ไม่มีทิศทางที่มั่นคง และมีจุดหมายตรงประเด็นของปัญหาของชาติ ประเทศอื่นเขามีการกระจายอำนาจ เราก็มี (แต่เป็นการกระจายตามรูปแบบ-ไม่กระจายด้วยจิตวิญญาณ) ประเทศอื่นเขามีระบบมัธยมแบบผสม-เราก็มีเช่นกัน แต่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว เพราะกรมอาชีวศึกษาไม่เห็นด้วย ปัจจุบันอาชีวศึกษาก็มาในทิศทางทวิภาคี และขอให้เดินไปให้ตลอด อย่ารีบกลายเป็นมหาวิทยาลัยไปเสียหมด ขณะนี้จะแยกอุดมศึกษาออกไปเป็นกระทรวงต่างหาก แต่ไม่รู้ว่าด้วยจุดประสงค์อันใด ก็อ้างภารกิจการวิจัยให้เป็นภาระสำคัญของมหาวิทยาลัย และก็ไปกระทบต่อสภาวิจัยแห่งชาติ ในที่สุดก็กลับไปคลุกคลีกับเรื่องเด็กอนุบาลดีกว่า และกลับมาพบกับปัญหาการสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนประถมศึกษา
เหล่านี้คือมหาภารตของวงการศึกษาชาติ (อาจจะพูดเกินความจริง) นักการศึกษาไทยไม่ได้โง่ แต่ทุกๆ คนฉลาดไปหมด จึงไม่มีใครฟังใคร
เมื่อปี พ.ศ. 2536 (โดยประมาณ) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ (คุณสัมพันธ์ ทองสมัคร) ได้ตั้งให้ผู้เขียนเป็นประธานวางแผนการศึกษา 30 ปี สมัยนั้นถือว่าเป็นข้อเสนอใหม่ ไม่เคยทำกันมาก่อน ผู้เขียนดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (สภาการศึกษา) ก็รู้สึกตื่นเต้น และได้เชิญเพื่อนรุ่นพี่-รุ่นน้องจากหลายๆ กรมมาช่วยกัน ดร.เรือง เจริญชัย อดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษา คือกรรมการคนสำคัญ ก็คิดวางแผนอย่างมีระบบทั้งเรื่องกำลังคน หลักสูตรที่จะต้องปรับใหม่ ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ผู้เขียนในฐานะประธาน ก็จินตนาการไปไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า เพราะมัวแต่เฝ้าดูตัวเลขสถิติเฉพาะ 5 ปีตามแผนฯ
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป และเกษียณจากราชการแล้ว และได้เข้ามาลิ้มรสการเมืองภาคปฏิบัติ จึงหวนกลับไปอ่านตำรารัฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ได้เล่าเรียนมา จึงถึงบางอ้อว่า แท้จริงตามที่ท่านอาจารย์ขงจื้อว่าไว้แต่เก่าก่อน ว่าหากคิดจะปลูกต้นไม้ก็ควรวางแผนตามอายุใช้สอยของพื้นพันธุ์ไม้แต่ละชนิด ถ้าคิดจะสร้างคน ต้องวางแผนเป็นศตวรรษ นี่ไงคือคำตอบจากนักปราชญ์แต่โบราณ
ท่านปรมาจารย์ขงจื้อ ได้วางรากฐานลัทธิขงจื้อของท่าน และปรัชญาแนวคิดของท่านได้กลายเป็นหลักสูตรการสอนผู้ที่จะไต่เต้าเป็นเสนาบดีของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของจีน ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นจนถึงปัจจุบัน โดยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ไม่สามารถทำลายได้ และลี กวน ยู เองก็อรรถาธิบายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและสิงคโปร์จากพื้นฐานอุปนิสัยใจคอของชาวจีนที่ฝังรากลึกมาจากอุดมการณ์ของลัทธิขงจื้อนั่นแหละ ชาวจีนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากประเทศจีน จึงกลายเป็นเจ้าสัว ตลอดจนเป็นมหาอำมาตย์ในราชสำนักราชวงศ์จักรี
แต่การเมืองนี่สิ จะเยียวยากันอย่างไร ด้วยการศึกษาอบรมแบบไหน? และสังคมการเมืองไทยอ่อนแอหรือป่วยไข้ทางการเมืองด้วยโรคอะไร? ผู้เขียนจำได้ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เคยตรัสไว้ นพ.วิบูล วิจิตรวาทการ ผู้เขียน “ราชวงศ์บ้านพลูหลวง” ได้อ้างอิงพระองค์ท่านดังนี้
“คิดดูในระหว่าง 90 ปี (ราชวงศ์บ้านพลูหลวง) ฆ่าทิ้งกันเสียถึง 7 ครั้ง เกือบเป็น 13 ปี ฆ่ากันครั้งหนึ่ง หรือถ้าอดตายก็กลายเป็นไพร่หลวงและตะพุ่นหญ้าช้าง ถ้าจะนับพวกที่ไม่ตายก็ต้องดูว่าผู้ดีกลายเป็นไพร่ ไพร่กลายเป็นผู้ดีถึง 7 ครั้ง ใน 90 ปีนั้น” โดยเฉพาะในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “แผ่นดินขุนหลวงบรมโกศ ชาววังหลวงเห็นจะตายเกือบหมด การเป็นเช่นนี้จึงต้องเชื่อว่าโดยเฉพาะในกรุงนั้นหาคนดีใช้ยาก”
ราชวงศ์บ้านพลูหลวงเริ่มต้นที่พระเพทราชาผู้ก่อกบฏยึดอำนาจจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งนักจัดละครได้นำมาแสดงช่อง 33 ในเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ซึ่งมีผู้ชมติดใจกันไปทั่วสังคมไทย แต่ความสนุกสนานบันเทิงไม่ได้ลบเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยการแย่งชิงราชสมบัติ และความโหดร้ายทารุณ และขุนนางขี้ฉ้อมากมายจนเกิดวีรกรรมบ้านบางระจัน เพราะขุนศึกของอยุธยาสมัยนั้นส่วนใหญ่ประจบสอพลอ จึงเสียกรุงแก่พม่า (พระเจ้าอลองพญา)
ประเด็นสำคัญที่ผู้ห่วงใยประเทศชาติต้องถามตนเองว่า หากจะวางแผน 30 ปี เพื่อพลิกโฉมหน้าสังคมไทยให้เป็นสังคมที่เข้มแข็ง มีวินัย เสียสละ รู้จักประสานประโยชน์ เดินสายกลาง ร่วมมือกันมากกว่าทะเลาะกันและถือดีกัน ไม่อิจฉาริษยากัน เป็นประชาธิปไตยในจิตวิญญาณ ไม่โลภแต่แบ่งปัน หรือนัยหนึ่งมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยสายกลางแบบธรรมาธิปไตย การศึกษาจะสร้างพลเมืองไทยให้ได้ตามอุดมการณ์และเป้าหมายนี้ได้หรือไม่หากแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของรัฐบาลวางเป้าหมายอันหนึ่งไว้เช่นนั้น ผู้เขียนคิดว่าชาวไทยคงมองเห็นประโยชน์มหาศาล และใครจะคิดคัดค้านเป้าหมายของการพัฒนาดังกล่าว ส่วนยุทธวิธีหรือกระบวนการที่ไปให้ถึงเป้าหมายควรเป็นเช่นไรก็จะเป็นเรื่องของขั้นตอนแนวปฏิบัติ
การวางแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี จึงควรเป็นแผนแห่งความหวัง แผนที่เกิดจากอุดมการณ์ของทุกๆ พรรค ทุกๆ กลุ่ม แต่ขอให้มีความเข้าใจตรงกันในความหมายของคำว่า “ยุทธศาสตร์ดังกล่าว” มิฉะนั้นข้อเสนอแนะก็จะรกรุงรังด้วยรายละเอียดซึ่งน่าจะเป็นขั้นตอนของการดำเนินงาน
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี