คำสัมภาษณ์ของพล.อ.ประวิตร รองนายกฯ และรมต.กลาโหม ที่พูดว่า “พรรคเราคือพรรครัฐบาล” เรื่องนี้น่าสนใจว่าพรรครัฐบาลที่ว่าคือพรรคอะไร พรรคใคร? คือพรรคที่มีรมต.หลายคนเป็นกรรมการบริหารหรือไม่? นอกจากที่พรรคการเมืองทั้งหลายกำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง แม้จะเป็นการเตรียมตัวด้วยความยากลำบาก เพราะยังไม่ได้รับการปลดล็อกจาก คสช. แทบจะพลิกตำรากฎหมายก่อนจะดำเนินการแต่ละอย่าง แต่ขณะที่อีกทางหนึ่งกำลังเริ่มนับหนึ่งกระบวนการสรรหา ส.ว. ตามกฎหมาย ซึ่งมีน้ำหนักไม่น้อยต่อผลการเลือกนายกรัฐมนตรีเช่นกัน การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่น่าลุ้นเท่าไหร่ ซึ่งนอกจากผลของการเลือกตั้งที่ไม่น่าลุ้นแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศหลังเลือกตั้งก็คงไม่ต่างกันด้วย
ความขัดแย้งไม่ต่างจากเดิม ก่อนหน้าที่รัฐบาลคสช.เข้ามาเมื่อปี 2557 บ้านเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ตลอด 4 ปีที่รัฐบาลคสช.เข้ามา จัดการโดยใช้อำนาจตาม ม.44 ดูเหมือนจะเป็นการกดปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา ดังนั้นเมื่อถึงช่วงแห่งการเลือกตั้งอีกครั้ง ความขัดแย้งของฝ่ายต่างๆ จึงกลับมาเช่นเดิม และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรก็อาจกลายเป็นเครื่องมือ ให้คสช.มาใช้ประเด็นนี้ควบคุมการบริหารประเทศต่อไปหรือไม่?
นโยบายหลังจากนี้ไม่ต่างจากเดิม นโยบายบริหารประเทศหลังการเลือกตั้ง คงไม่ต่างไปจากเดิม เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีการแข่งขันในเรื่องของนโยบายจริงๆ ทุกอย่างถูกกำหนดและขีดเส้นใต้ไว้ด้วยนโยบายแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และประทับด้วย พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ที่เป็นเงื่อนไขที่ผูกมัดรัฐบาลหลังจากนี้ให้ต้องทำตามเงื่อนไข รวมถึงมรดกโครงการของรัฐบาลปัจจุบัน อย่าง พ.ร.บ.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีกองทุนที่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ซึ่งจะกลายเป็นตัวควบคุมที่สำคัญต่อการออกนโยบายในอนาคต
โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องเดินตามต่อไป รัฐบาลปัจจุบันไม่ปรากฏโครงการลงทุนขนาดใหญ่อะไรเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะการออกกฎหมายป้องกันการทุจริตที่ค่อนข้างเข้มงวด ที่ทำให้การจัดซื้อจัดจ้างของโครงการยักษ์ใหญ่ยากหรือไม่กล้าออกโครงการที่เสี่ยงเพราะพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ได้นำมาตรการทางอาญามาใช้ในการป้องกันการทุจริต ซึ่งน่าจะถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งของรัฐบาลนี้ แต่ผลเสียคือขาดเม็ดเงินขนาดใหญ่จากภาครัฐไปพัฒนาประเทศ จนมาปีสุดท้ายก็มีและใหญ่มากจนฉุดไม่อยู่ทั้งงบฯและผลผูกพันข้ามรัฐบาล โครงการอีอีซีหลายโครงการ กำลังจะมีผลผูกมัดประเทศไปเกือบครึ่งศตวรรษ? ส่งผลให้รัฐบาลต่อไปต้องสานโครงการไปอีกยาวๆ แม้จะบอกว่าเน้นโครงการพีพีพี หรือร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนแต่สัดส่วนของภาครัฐก็ไม่ใช่น้อย สิ่งที่สำคัญกว่างบฯคือพันธสัญญาต่างๆ จากการยกเว้นเงื่อนไขตามกฎหมายปกติ ให้กับนักลงทุนที่ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติ พันธสัญญาต่างๆ เหล่านี้จะผูกมัดการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยไปอีกนาน ถ้าหากดีก็ถือว่าเป็นโชคดีของประเทศ แต่หากไม่ดีหรือประเทศเสียผลประโยชน์และก็ยากที่จะแก้ไข
แต่โครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้คำสั่งที่ให้ลงนามให้เสร็จก่อนเลือกตั้งเกือบทุกโครงการใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริงรัฐบาลต่อไปก็ไม่มีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงอะไร ที่กล่าวเช่นนี้เพราะมีข่าวว่ามี รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่มีอำนาจในคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ได้เร่งปรับไทม์ไลน์ของโครงการอีอีซีทั้งหมด ให้สามารถลงนามได้ก่อนจะมีการเลือกตั้งจริงหรือไม่? และยังเร่งให้โครงการร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP) 4-5 โครงการเช่น โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่กำหนดให้ได้เอกชนผู้ร่วมลงทุน ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ทั้งที่กำหนดเวลาเริ่มต้นโครงการอยู่ในปี 2566 เพราะอะไร? หรือโครงการอุตสาหกรรมท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ที่กำหนดให้เริ่มดำเนินการในปี 2568 หรืออีก 7 ปี แต่ก็มีการเร่งรัดให้ลงทุน ภายในเดือนมกราคม 2562 เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?
อะไรคือสาเหตุที่ต้องเร่งให้เสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งตรงกับที่รัฐบาลประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งพอดิบพอดี การเร่งรีบเกินไปจะทำให้ประเทศเสียโอกาสแทนที่จะได้โอกาสในการสร้างการลงทุนที่มีคุณภาพหรือไม่? ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐมนตรีกลุ่มนี้อยู่ในรายชื่อผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองที่เรียกว่า พวกเรา หรือไม่?
ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้าที่รัฐบาลนี้เข้ามาเริ่มมีการพูดถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำและปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน หากแต่เมื่อรัฐบาลคสช.เข้ามาก็ได้พยายามให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยชูนโยบายประชารัฐเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต การลงทะเบียนคนจน ตลอดจนการประกาศว่าจะออกกฎหมายอีกหลายฉบับที่จะลดช่องว่างคนรวยกับคนจน แต่ดูเหมือนว่า เมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี ผลไม่ได้เป็นอย่างที่คาด กฎหมายไม่ได้ออกอย่างที่พูด และผลของนโยบายกลับไปส่งผลต่ออีกด้านแทน
กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นความหวังที่จะนำไปสู่การจัดเก็บภาษีจากคนรวยที่ถือครองที่ดินจำนวนมากไป แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการ และคณะทำงานขึ้นมาสำหรับปฏิรูปสังคมและลดความเหลื่อมล้ำไว้หลายชุด มีการตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของหนี้นอกระบบ คืนโฉนดให้กับชาวบ้าน แต่ก็ยังจัดการได้ไม่ดีพอ หรือเพียงทำโชว์เพราะยังมีประชาชนมากมายยังต้องถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินของตนเอง เพราะถูกเจ้าหนี้หรือนายทุนโกงโฉนด เกษตรกรนับล้านก็ยังไม่มีที่ดินทำกิน ยังเป็นหนี้เป็นสิน แต่สุดท้ายกฎหมายฉบับนี้ก็ยังไม่ออกมาบังคับใช้ หรือแม้แต่กฎหมายภาษีมรดก แม้จะออกมาแล้วแต่เมื่อบังคับใช้จริงสุดท้ายก็เดินตามหลังคนรวยที่ก้าวไปอีกขั้นด้วยการถูกวิจารณ์ว่าเปิดช่องช่วยผู้ถือครองทรัพย์หลีกเลี่ยงภาษีอยู่ดี
ส่วนตัวชูโรงอย่างโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ที่คนจน 4-5 ล้านคน นอกจากจะถูกวิจารณ์ว่ามาช้าไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือไม่ และผลไม่ได้กลับสู่วัฏจักรวงล้อเศรษฐกิจอย่างที่คิด เพียงแต่การที่ออกบัตร 11 ล้านใบ ทำให้ได้ใจคนจน 11 ล้านคนในปีก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะต้นตอของความจนไม่ได้แก้หนี้นอกระบบยังมีอยู่ รายได้ประชาชนจากการประกอบอาชีพยังคงไม่พอรายจ่าย รายได้ของคนจนอย่างเกษตรกรจริงๆยังไม่ได้รับการแก้ไขที่ต้นทางคือราคาสินค้าเกษตร สวน ไร่หรือนา แต่รายได้กลับไปกระจุกตัวที่ ผู้ค้า ผู้แปรรูป ซึ่งเป็นนายทุนอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ การผูกขาดสินค้ายังคงอยู่ที่รายใหญ่ SMEs ไม่มีช่องจะเกิดได้จริง ภาษีคนชั้นกลางยังคงถูกรีดเช่นเดิม ช่องว่างคนจนและคนรวยตลอดสี่ปีนี้จึงถ่างขึ้นมากอย่างที่ทราบ
ซึ่งถ้าลองตั้งคำถามเล่นๆ ก็น่าคิดว่านโยบายลดความเหลื่อมล้ำของรัฐบาลนี้ สอบผ่าน และสัมผัสได้ จริงหรือ? แล้วถ้าผู้บริหารรัฐบาล คสช.นี้ไปลงเลือกตั้งและยังได้รับเลือกให้อยู่ต่อ กับกรอบความคิดเดิมนี้ “ปัญหาคนรวยกระจุก คนจนกระจาย” ยังจะทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่? โครงการอีอีซี ก็ส่งผลให้ราคาที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษของจังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา แพงสูงขึ้น ซึ่งเจ้าของที่ดิน นักลงทุนรายใหญ่ และเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมก็ยิ่งร่ำรวยมั่งคั่งขึ้น สวนทางกับความเป็นอยู่ของประชาชนที่เสมอตัว หรือต่ำลงด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าความหวังดีของรัฐบาล กำลังเป็นผู้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำเสียเอง ด้วยการเอื้อประโยชน์ให้แก่นักลงทุนเสียมากกว่าหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะหวังให้เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปมาแก้ปัญหา ก็อาจจะหยั่งรากลึกและยากแก่การแก้ไขไปแล้ว การที่นายทุนวิ่งเข้าหาทหาร ซึ่งมีอำนาจออกกฎหมายและกำหนดนโยบายจึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลก แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลจากพรรคการเมือง ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น
หลังการเลือกตั้งก็ไม่มีหลักประกันใดที่บอกได้ว่า รัฐบาล คสช. และคณะกรรมการต่างๆ จะวางมือจากการบริหารประเทศ เพราะมีเครื่องมือมากมายที่ยังวางหมากไว้สำหรับการใช้อำนาจเหนือการทำงานของรัฐบาล ทั้ง พ.ร.บ. ยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ บรรดา 250 สว.ที่มาจากการสรรหา ซึ่งก็อาจมีคนคาดการณ์ว่าอาจมีรายชื่อเหล่าอดีตผู้นำกองทัพเข้ามาอยู่ในนั้นหรือไม่
ตลอดจนเรื่องการจัดการความขัดแย้งที่ยังสร้างจุดอ่อนให้ประชาธิปไตยไทย และเปิดโอกาสให้ทหารเข้ามามีบทบาทในการแทรกแซงการเมืองด้วยข้ออ้างเรื่องความไม่สงบในบ้านเมือง ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลคสช. มักกล่าวว่าจัดการได้อย่างเรียบร้อยสร้างความสงบให้คนในชาติได้จริง แต่แท้จริงแล้วมีการสร้างความปรองดองในชาติจริงหรือ? เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีการส่งเสริมความปรองดอง มีการตั้งคณะกรรมการ กรรมาธิการต่างๆเพื่อจัดการ แต่สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมก็มีเพียง ม. 44 ที่กดทับการเคลื่อนไหว เรียกร้อง การแสดงความคิดเห็นเท่านั้น เรื่องนี้ไม่รู้ว่าคิดว่าจัดการได้ หรือตั้งใจไม่จัดการ และทิ้งระเบิดเวลาไว้เป็นหลักประกันในการแทรกแซงการเมือง? ยิ่งคำให้สัมภาษณ์ ของ ผบ.ทบ. คนปัจจุบันหลังเข้ารับตำแหน่งว่า “ไม่รับประกัน ไม่รัฐประหาร ยืนยันปกป้องสถาบันด้วยทุกอย่างที่มี ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ถ้ามันไม่เกิด มันก็ไม่มีอะไร อยู่ๆ มาบอกว่า ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมากว่า 10 ครั้ง มันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว สมัยหลังๆ มันเกิดขึ้นเพราะเรื่องการเมืองทั้งสิ้น” ก็ผลเลือกตั้งก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศจะเปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่อย่างไร
“...การกล่าวความจริง มักทำร้ายจิตใจผู้คน...”
โกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี