คนไทยส่วนใหญ่ก็หายใจสะดวก รู้สึกโล่งอก เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เพราะสภาวะการเมืองไทยก่อนการปฏิวัติรัฐประหารนั้นมีความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งใน และนอกรัฐสภา โดยประชาชนต่างฝากความหวังไว้กับฝ่ายกองทัพว่า จะได้นำพาความสงบมาให้แก่บ้านเมือง แล้วช่วยนำพาการปฏิรูปประเทศไทยในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านการเมือง เพื่อปูทางให้สังคมไทยกลับสู่การเป็นเสรีประชาธิปไตย ซึ่งก็ไม่น่าจะกินระยะเวลาเกิน 1-2 ปี
ในวันนั้น ภาพลักษณ์ของฝ่ายกองทัพในสายตาของชาวไทยดูเป็นผู้เสียสละ เป็นพระอกขี่ม้าขาว ดูเป็นพลเอกที่อาสาเข้ามากู้ชาติ และได้รับแรงใจจากประชาชน เพราะต่างเชื่อว่า ทางกองทัพที่ทำการปฏิวัตินั้นน่าจะมีบทเรียนจากความล้มเหลวในการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 อยู่ในใจ และจะไม่ดำเนินการที่ผิดพลาดเสียของซ้ำสอง
ในขณะนั้น ประเทศไทยจึงเต็มไปด้วยความหวัง โดยฝ่ายกองทัพก็ปราศจากแรงกดดันจากทั้งภายใน และนอกประเทศให้รีบคืนอำนาจให้กับประชาชน คู่ขนานไปกับประชาชน ที่พร้อมใจกันให้โอกาส ให้เวลา และให้ความไว้วางใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การปฏิรูประเทศที่สัญญาเอาไว้ กลับไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้า เพราะฝ่ายกองทัพนั้นมัวแต่สาละวนอยู่กับการประณาม และโยนบาปของความยุ่งเหยิงของบ้านเมืองทั้งปวงให้กับฝ่ายนักการเมือง ก็เลยมุ่งแต่จะตีกรอบจำกัดพื้นที่นักการเมือง มิให้สามารถขยับเขยื้อนได้เป็นหลัก โดยใช้การแบ่งแยกชนิดต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการมาพูดจาปรึกษาหารือ ในเรื่องการวางอนาคตให้กับประเทศ หรือเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศอาจจะเพราะปักใจเชื่อว่า นักการเมืองเท่านั้นคือปัญหาของประเทศไทย (แต่ช่วงหลังกลับมีการนำเอาอดีตนักการเมืองหลากหลายเข้าไปใช้งานในรัฐบาลทหาร และ “ปูทางการร่วมกันคงอำนาจ” ต่อไป)
นอกจากการกันนักการเมืองออกไปจากการปฏิรูปแล้ว ประชาชน หรือผู้มีคุณวุฒิ ที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในคณะของกองทัพ ก็ต้องสงบปากสงบคำไปด้วย อย่าได้มาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะปฏิรูป การปกครองบ้านเมืองที่ผ่านๆ มา ก็เลยเป็นไปในรูปแบบของการคิดเอง ตัดสินใจเอง และทำเอง แบบข้าใหญ่ ข้าคือผู้รู้ แต่ผู้เดียว ซึ่งเมื่อดันทุรังทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มตัน คิดอะไรไม่ออก เพราะที่ว่ารู้ ชักจะรู้ไม่จริง เริ่มเข้ารกเข้าพงกันไปจากที่ควรจะอยู่สัก 2 ปี ก็ลากยาวมาจนปีที่ 5
เมื่อรู้ว่าฝืนบริหารด้วยการรัฐประหารต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ต้องมองหาทางอยู่ต่อผ่านกระบวนการเลือกตั้ง จากที่เคยบอกว่าเป้าหมายคือการปฏิรูปเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้กับเมืองไทย เลยต้องเปลี่ยนไปเป็นการปูทาง และสร้างฐานการต่ออำนาจทางการเมือง เพราะจำเป็นจะต้องซื้อเวลาในการกุมอำนาจไปเรื่อยๆ (ซึ่งแม้บัดนี้จะมีการประกาศเป็นครั้งที่ 7-8-9 ว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่ไม่ยอมกำหนดวันเวลาเสียที ซึ่งประชาชนก็เชื่อกันเองว่า จะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปกันอย่างแน่นอน ซึ่งก็คงเป็นในช่วงต้นปี 2562)
จากบทบาทของพระเอกขี่ม้าขาวผู้อาสากู้ชาติบ้านเมืองในวันนั้น ก็เลยต้องแต่งองค์ทรงเครื่องกันใหม่ เพื่อที่จะได้ผ่านพิธีกรรมการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้ แล้วกลายร่างเป็นนักการเมืองเต็มรูปแบบ แถมยังดำเนินการขยับขยายมิตรภาพไปสู่บรรดาอดีตนักการเมือง ที่ตนเองได้เคยวิพากษ์วิจารณ์ ดูหมิ่นดูแคลน แสดงความเหยียดหยามพวกเขา ว่าเป็นพวก “รักษ์การเมือง” ที่สร้างปัญหาให้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต คอร์รัปชั่น การไม่รู้จักปรองดอง เอาแต่ทะเลาะกันจนสังคมแตกแยก แต่ในวันนี้กลับกลายมาเป็นมิตรสหาย มาเป็นผู้สนับสนุน ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันเสียแล้ว
ในเมื่อเวลาร่วม 5 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลกองทัพที่ใช้ชื่อย่อว่า คสช. มิได้มีการปฏิรูปประเทศใดๆ อย่างเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากการพยายามปูทางต่ออายุอำนาจทหารนิยมเท่านั้น ก็หมายความว่า ปัญหาการเมืองไทยในช่วงก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ยังคงอยู่ เพียงแค่ถูกแช่แข็งเอาไว้ด้วยอำนาจทางการทหาร ซึ่งจะกลับมาเป็นปัญหากันต่อไป หลังจากมีการเลือกตั้งนั่นเอง ประชาชนชาวไทยก็ทำใจเอาไว้เลยว่า เราจะได้เห็น นักการเมืองธุรกิจนำพาหน้าเดิม พากันกลับมาเดินแจ่มจรัสอยู่บนเวทีการเมืองอย่างที่เป็นๆ กันมา
และที่จะเพลียใจมากขึ้น ก็คือครั้งนี้ จะมีแถมฝ่ายทหารการเมือง เข้ามาร่วมผสมโรง รวมกันก็เป็นพวกอำนาจนิยม และเอาผลประโยชน์เข้าตัว ด้วยข้ออ้าง “เพื่อความมั่นคงฯ” ที่ประชาชนไม่รู้ว่า ของประเทศไทย หรือของใครกันแน่
ที่สำคัญ ความขัดแย้งทางการเมืองบนท้องถนนจะกลับมาเป็นประเด็นการเมืองอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาเรื่องการปรองดองสมานฉันท์มิได้รับการดำเนินการอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับเรื่องการปฏิรูปยกเครื่องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ได้มีอะไรคืบหน้า ปัญหานี้ก็จะวนเวียนกลับมาเป็นมะเร็งร้ายกัดกินสังคมต่อไป
ข้าราชการประจำที่ควรจะเป็นข้ารับใช้ประชาชน ก็จะติดกับดักเดิม นั่นคือข้าราชการสกปรกวิ่งเต้นหาตำแหน่ง และหาเศษหาเลยจากตำแหน่งหน้าที่และรับใช้การเมืองสามานย์ในขณะที่ข้าราชการซื่อสัตย์ ไม่สามารถเติบโต มาคัดคานได้
ความเหลื่อมล้ำในสังคมก็ยังคงขยายตัวต่อไป เพราะรัฐได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ประชาชนจะอยู่ดีกินดีได้ นายทุนธุรกิจยักษ์ใหญ่ในประเทศจะต้องมั่งคั่งก่อน แล้วจะแบ่งปันลงมาสู่ชนชั้นกลาง และล่าง (ซึ่งก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง) ระหว่างนั้นก็อาศัยยาหอมโครงการประชานิยม โปรยไว้กับชาวรากหญ้า เพื่อไม่ให้เกิดแรงต้านจากสังคมมากจนเกินไป ซึ่งท้ายสุด เงินงบประมาณในโครงการเหล่านี้ก็จะไหลไปรวมกันที่กระเป๋าของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่อยู่ดี
โครงการยักษ์ใหญ่ ที่เคยบอกสังคมว่าเป็นต้นตอของการคอร์รัปชั่น ก็จะถูกนำเสนอขึ้นมาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปสนใจว่าผลตอบแทนและความคุ้มค่าคุ้มทุนมีจริงหรือไม่ โดยข้อเท็จจริงเดียวที่สนใจก็คือ พรรคพวกที่มาร่วมประมูลงานต่างๆ จะต้องได้กำไรกันอย่างเต็มไม้เต็มมือ โดยจะแบ่งส่วนหนึ่งมาสนับสนุนการเล่นเมืองในอาณัติของตน
และเรื่องการกระจายอำนาจเพื่อให้ประชาชนดูแลตนเอง มีส่วนร่วมมากขึ้น ที่เป็นรากฐานสำคัญของการเป็นประชาธิปไตย ก็ลืมกันไปได้เลย เพราะแม้ระหว่างมีอำนาจดำเนินการบริหารประเทศเต็มที่ ก็ทำแบบ ข้าฯมาคนเดียว ไม่ต้องไปปรึกษาใคร ไม่เคยเหลียวแลเรื่องนี้แม้แต่น้อย
นอกจากนั้น ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ก็ยังลอยนวล ดังนั้นความเป็นราชอาณาจักรของไทยจะถูกท้าทายจากแนวความคิดสาธารณรัฐกันต่อไป โดยบางส่วนของระบอบทุนนิยมสามานย์ ก็จะเปลี่ยนรูปลักษณ์มาเป็นการออมชอมผลประโยชน์ต่างตอบแทน กับกลุ่มอำนาจการเมืองใหม่ ส่วนนักการเมืองฝ่ายหลักการ อุดมการณ์ ก็คงไม่มีพื้นที่และถูกขับไล่ให้ไปอยู่หางแถว เป็นไม้ประดับสภาให้ครบองค์เท่านั้น
เมื่อมีพฤติกรรมของผู้อาสามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเด่นชัดเช่นนี้ ก็คงไม่แปลกที่ความคาดหวังของประชาชนแต่ครั้งอดีตเกี่ยวกับการปฏิรูปบ้านเมือง และการอาสากอบกู้สถานการณ์ จะจางหายไปอย่างรวดเร็วจากหัวใจคนไทย เพราะเขาเห็นด้วยตาตนเองแล้วว่า ที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่รัฐบาลกองทัพทุ่มเทให้ นั้นคือการแสวงหาการครองอำนาจ ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา หรือดำเนินการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแต่อย่างใด
จากคนไทยที่เคยเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ก็เลยได้แต่หน้าหงอยๆ หมองๆ กันไปในวันนี้ โดยทำได้เพียงแต่หวังกันเองว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจะช่วย “ลูกช้าง” โดยดลบันดาลให้บรรดาผู้อาสาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเปลี่ยนใจ เปลี่ยนพฤติกรรมให้กลับมาอยู่ในทำนองคลองธรรมเสียที
ในฐานะคนมองโลกในแง่ดี ผมก็ยังมีความหวังลึกว่า คงไม่สายเกินไป หากท่านผู้นำจะกลับลำมาดำเนินการลงมือทำดังที่เคยได้สัญญาไว้กับประชาชนชาวไทยแต่หนแรก ที่ว่า จะกอบกู้ และปฏิรูปชาติบ้านเมือง ลงมือทำอย่างจริงจังและจริงใจแต่วันนี้ ด้วยอำนาจในมือ ก็น่าจะแก้ไขปัญหาไปได้มากอยู่
ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว ก็วางมือลงจากเวทีไป ให้คนได้ระลึกถึงคุณงามความดี ได้รู้สึกชื่นชมยินดีเหมือนวันแรกที่ท่านอาสามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ดีกว่ามัวแต่แก้ไขปัญหาแบบลิงแก้แหไปวันๆ หาทางอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ จนทำให้สังคมไร้ความหวัง จึงจะสามารถยืดอก ยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติ และศักดิ์ศรีที่แท้จริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี