สำหรับผู้ที่ติดตามการเมืองไทย ในช่วงหลังๆ เมื่อได้รับฟังการชี้แจงการกระทำของผู้มีอำนาจทางการเมือง หรือผู้ที่อยู่ในแวดวงทางการเมืองไทย แล้วก็มักจะรู้สึกตรงกันว่า ช่างน่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพูดไปอย่าง ทำไปอย่าง นอกจากนั้นยังน่าแปลกใจว่า ทำไมถึงจะชี้แจงต่อการกระทำของตนเองอย่างตรงไปตรงมาให้ประชาชนรับฟังกันไม่ได้
คำตอบง่ายๆ ก็น่าจะเป็นเพราะเมื่ออยู่ไปนานๆ อำนาจมันเข้ามาปกคลุม ครอบงำ สภาวะจิตใจเสียจนแยกแยะความผิดความถูก หรือความควรไม่ควร ไม่ได้อีกแล้ว เนื่องด้วยตัณหาแห่งอำนาจ ได้ทำให้จิตใจไม่มีที่เหลือให้กับจิตสำนึกความถูกต้องชอบธรรมอีกต่อไป
แม้การเมืองจะเป็นเรื่องของอำนาจก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันการเมืองก็เป็นเรื่องของศีลธรรมเช่นกัน เพราะเมื่อการเมืองปราศจากแล้วซึ่งศีลธรรม การใช้อำนาจก็ยุ่งเหยิง โลเล ล่องลอย จนส่งผลเสียต่อส่วนรวมในที่สุด เพราะการเมืองอีกมุมหนึ่งคือ การรับใช้ชาติบ้านเมือง แต่เมื่อใดที่ผู้มีอำนาจใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง วางตัวอย่างไม่เหมาะสม การเมืองกลับกลายไปเป็นช่องทางรับใช้ตัวเองและพวกพ้อง ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ และท้วงติง รวมถึงคัดค้านกันเป็นธรรมดา
ว่ากันเรื่องเฉพาะหน้ากันก่อน ก็คือการเคารพประชาชนและให้เกียรติประชาชน สำหรับผู้ปกครองบ้านเมืองแล้ว นั่นก็คือการพูดความจริงกับประชาชน เพราะหากพูดไม่จริงกับสังคม ก็เท่ากับว่า ผู้นำนั้นๆ คิดว่าตนเองมีอำนาจบารมีล้นเหลือ แม้กระทั่งจะหลอกคนทั้งสังคมก็มั่นใจว่าทำได้ หรือไม่ก็คงคิดว่า “ประชาชนโง่เง่าเป็นเต่าตุ่น” จึงถูกหลอกได้เรื่อยๆ ซึ่งหากผู้มีอำนาจคิดอย่างหลัง ก็คงเป็นเรื่องที่น่าอดสู และไม่คู่ควรต่อตำแหน่งหน้าที่ของตนเป็นอย่างยิ่ง
ในช่วงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายการเมืองอาชีพ หรือแวดวงนักการเมืองได้ถูกกันออกไปจากอำนาจการเมือง ฝ่ายกองทัพผู้ปฏิวัติรัฐประหารก็กุมอำนาจเบ็ดเสร็จโลดแล่นในสนามการเมืองแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งประชาชนไทยนั้นพอเข้าใจในสถานการณ์พิเศษๆ นี้ โดยยอมให้ฝ่ายกองทัพในนาม คสช. บริหารประเทศไป โดยหวังว่าจะมีการดำเนินการปฏิรูปประเทศที่จำเป็นในด้านต่างๆ แล้วเร่งคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วทำตนเป็นกรรมการกลางที่ซื่อสัตย์ ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายในระหว่างกระบวนการกลับสู่ประชาธิปไตย
แต่เอาเข้าจริง ในวันที่สังคมไทยกำลังหวนกลับสู่ยุคหาเสียง ซึ่งการเตรียมการเตรียมตัวใดที่จะเปิดให้กระทำกัน ก็ควรที่จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ หรือมีความลักหลั่นกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบต่อกันและกัน ตามพื้นฐานความเสมอเหมือนทัดเทียมเป็นเรื่องของความยุติธรรม และการมีจิตใจเป็นนักกีฬา (fair play) ทางรัฐบาลกองทัพนั้น แทนที่จะทำตัวเป็นกรรมการกลาง หลังจากเขียนกติกาเรียบร้อยแล้ว ก็กลับกระโดดลงมาแต่งตัวเป็นผู้เล่นด้วยในสนามการเมืองไทย
และนอกจะลงมาแข่งขันภายใต้กติกาที่ตนเองเขียนแล้ว ก็ยังคงใช้โอกาสที่ได้เปรียบระหว่างที่ฝ่ายการเมืองยังถูกจำกัดจำเขี่ยพื้นที่ทางการเมืองอยู่ ด้วยการใช้งบประมาณหว่านล้อมในการสร้างคะแนนนิยม และสร้างฐานและขยายเครือข่ายทางการเมืองอย่างเต็มที่โดยสังคมก็รู้สึกกันว่า เป็นไปเพื่อต่ออำนาจของตนเองโดยแปลงโฉมจากกรอบเผด็จการไปสู่กรอบประชาธิปไตย
นั่นคือฝ่ายกองทัพนั้นได้เปรียบทั้งในรูปแบบที่วางไว้ แล้วยังสามารถ “ตีกิน” คะแนนเสียงก่อนฝ่ายอื่นๆ ซึ่งเป็นการทำงานที่หวังผลทางการเมืองอย่างเต็มที่ ผ่านทางการใช้งบประชารัฐที่มาจากภาษีประชาชนเพื่อคะแนนเสียงตนเอง
นอกจากนั้น ยังอ้างด้วยว่า การรณรงค์ใดๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นั้น มิได้เป็นบทบาททางการเมือง หรือหาเสียงแต่เนิ่นๆ แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น
การมี facebook ส่วนตัว
การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร
การให้คำมั่นสัญญาต่อโครงการต่างๆ และการกำหนดวงเงิน
การดึงดูดผู้คนเสริมพลัง โดยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เช่น ตำแหน่งหน้าที่
การพบปะของบุคคลในคณะรัฐมนตรีที่ตั้งพรรคการเมืองกับประชาชน แล้วบอกว่ามิใช่การหาเสียงแต่อย่างใด
นอกจากฝ่ายกองทัพรัฐบาลเล่นการเมืองแล้วยังมีการเดินหาเสียงตามท้องถนน โดยแกนนำพรรคการเมืองนำพา แล้วบอกว่ามิใช่กิจการการเมือง เป็นแค่การไปเยี่ยมคารวะประชาชนเท่านั้น เป็นต้น
ซึ่งที่แจงมาข้างบนโดยสังเขปนั้น ฝ่ายรัฐบาลประยุทธ์ ได้ยืนกระต่ายขาเดียวบอกกับประชาชนว่า นี่มิใช่เรื่องการหาเสียง การสร้างฐาน ทางการเมืองเลยแต่อย่างใด
ผมเองในฐานะเต่าตุ่นตัวนึงในสายตาของผู้มีอำนาจ ก็คงทำได้เพียงพยักหน้ารับทราบ ตามที่เหล่าผู้มีอำนาจแจ้งมา ส่วนจะเชื่อหรือไม่ ก็ขอดำรงไว้ตามสิทธิ์พื้นฐานในความเป็นมนุษย์
และโดยส่วนตัวผมเองนั้นเชื่อว่า ความจริงข้อเท็จจริง เป็นสิ่งไม่ตาย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในที่สุด ความถูกต้องชอบธรรมก็ต้องกลับมาสู่สังคมไทยในที่สุด
ดังนั้น ถ้าหากคิดว่า เวลา เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ยังไม่พอที่จะทำการปฏิรูปให้เสร็จสิ้น แต่ติดด้วยกรอบเวลาที่สัญญาเอาไว้กับสังคมว่าจะกลับสู่ประชาธิปไตย ช่วงรอยต่อนี้ ก็บอกกับประชาชนไทยไปตรงๆ ว่า ช่วงนี้ต้องดำเนินการต่างๆ เพื่อให้สามารถกลับมากุมอำนาจต่อได้ในระบอบประชาธิปไตย และดำเนินการปฏิรูปประเทศต่อให้แล้วเสร็จสมดั่งที่ตั้งใจไว้
คนไทยฟังแล้ว ยังจะรู้สึกว่า อย่างน้อย ผู้นำของเขาก็กล้าที่จะพูดความจริง และซื่อตรงกับประชาชนของเขา ดีกว่าจะปล่อยให้เขารู้สึกถูกดูถูกจากคำหลอกลวง แล้วไปเอาคืนในวันลงคะแนนเสียง
และตามล้างตามเช็ดกันต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี