การเปิดให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งเก่าและใหม่ ทั้งที่ยืนยันสมาชิกภาพและไม่ได้ยืนยัน แต่ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นแล้ว ได้มีสิทธิหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการสร้างบรรทัดฐานทางประชาธิปไตย ที่ทำเอาพรรคการเมืองอื่นๆ สะดุ้งสะเทือนกันเป็นแถว
ประชาธิปัตย์เปิดเกมเลือกหัวหน้าพรรค โป้งเดียว ฝ่ายประชาธิปไตยขี้คุยทั้งหลายเงียบกริบ
ต้องยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น “ไม่มีใครเป็นเจ้าของ” อยู่ยงคงกระพันมา 72 ปี มีอุดมการณ์และหลักการที่แน่ชัด บางช่วงได้รับความนิยมมาก บางช่วยได้รับความนิยมน้อย เดี๋ยวเป็นรัฐบาล เดี๋ยวเป็นฝ่ายค้าน อันเป็นปกติในทางการแข่งขัน และแรงสนับสนุนจากประชาชน
ท่ามกลางการ “กำหนดเกม” ให้การเลือกตั้งครั้งหน้า เหลือตัวเลือกแค่ “ทหาร หรือ ทักษิณ” ที่อาจประดิษฐ์วาทกรรมให้เก๋กว่านั้นว่า “เผด็จการ หรือ ประชาธิปไตย” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผมบอกว่า “แล้วประชาชนจะได้อะไร ได้ความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ?” เขาเสนอตัวจะนำพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับประชาชน (ซึ่งจะเลือกหรือไม่เลือกก็ไม่ได้ว่า) ที่ไม่เผด็จการ และไม่ขี้โกง เป็นก๊กที่ 3 หรือทางเลือกที่ 3 โดยจะเอาปัญหาของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่จ้องแต่จะเผชิญหน้ากับใครเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองเจ็บปวด สูญเสีย ทรุดโทรม เพราะความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันมาเป็นสิบๆ ปี หากเราไม่ “เปลี่ยนโจทย์” เสียใหม่ ย่อมไม่อาจเดินออกจากวงแห่งความขัดแย้ง-ชิงชัง ได้ จนบ้านเมืองต้องเสียโอกาสในการพัฒนาและแก้ปัญหาให้ประชาชนกันต่อไป
กระนั้นก็ตาม ในพรรคและในบ้านเมือง ก็มีอารมณ์ “เบื่อมาร์ค” อยู่ในที มาร์คจึงตัดสินใจว่า งั้นเอาความต้องการที่แท้จริงของสมาชิกพรรคขึ้นนำดีกว่า เลือกหัวหน้าพรรคโดยตรง ด้วยความต้องการของสมาชิกกันเลย จึงนำมาซึ่งการดำเนินการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1-5 พฤศจิกายนนี้
ผู้สมัครทั้งสาม คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หมายเลข 1, นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม หมายเลข 2 และนายอลงกรณ์ พลบุตร หมายเลข 3 ได้ผ่านการดีเบต หรือประชันวิสัยทัศน์กันไปแล้ว ผมได้ไปนั่งฟังอยู่ด้วย เห็นบรรยากาศที่ดี และได้ฟังวิสัยทัศน์ที่ดีจากทั้งสามท่าน
วิสัยทัศน์นั้นสำคัญอย่างไร สำคัญตรงที่จะบอกได้ว่า เขาคิดอะไร เขามองพรรค มองบ้านเมืองอย่างไร และเขามีแนวการนำพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่สนามเลือกตั้งที่จะมาถึงอย่างไร
อภิสิทธิ์กับอลงกรณ์นั้นชัดเจน ว่ามุ่งรักษาอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และเสนอแนวทางแก้ปัญหาของประชาชน และเพิ่มพูนโอกาสของประเทศชาติ ส่วนคุณหมอวรงค์ไปในแนว “พร้อมเปลี่ยน-กล้าเปลี่ยน” และชูจุดขายเรื่องการตรวจจับทุจริต ซึ่งเป็นจุดเด่นและเป็นผลงานสำคัญของท่าน ก็อยู่ที่ว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะสนใจแนวทางของใคร
นายกรณ์ จาติกวณิช ที่หลายคนก็แอบคาดหวังว่า จะลงชิงตำแหน่งนี้ แต่กลับไม่ลง และประกาศตัวชัดว่าเป็น “ทีมอภิสิทธิ์” ออกตัวแรงสุดๆ เมื่อวานนี้ ผ่านข้อเขียนชื่อว่า “ทำไมถึงต้องเป็น...อภิสิทธิ์” โดยเขาเขียนว่า...
“...สมาชิกพรรคเลือกวันที่ 1-5 นี้แต่คงไม่เว่อร์ที่จะบอกว่าผลของการเลือกจะกระทบกับคนไทยทั้งประเทศ
ในการ “ดีเบต” ระหว่างผู้สมัครหัวหน้าพรรคเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คุณอภิสิทธิ์พูดว่า “ปชป. จะไม่เป็นรัฐบาลเพียงเพื่อคนของพรรคจะได้มีตำแหน่ง แต่จะเป็นรัฐบาลหากเราสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ เพื่อประชาชน”
ประโยคอย่างนี้ ใครๆ ก็พูดได้ แต่มีใครบ้างที่เรามั่นใจว่าพร้อมทำตามนี้จริง
คุณอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคนหนึ่ง แต่ก็เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับว่ารอบรู้ ซื่อสัตย์ และอดทน นี่คือวิบากกรรมของเขา ซึ่งเขาก็แอ่นอกยอมรับกระแสกดดันมาโดยตลอด ไม่เคยออกอาการตัดพ้อ น้อยใจ หรือถอดใจ
ในทุกยุคสมัยจะมีคนในพรรคที่คิดต่าง และมีคนที่มองว่าเราควร “เว้นวรรค” อุดมการณ์บางส่วน เพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า พรรคการเมืองทั่วโลกเสียศูนย์กันมาเยอะก็เพราะความคิดแบบนี้
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกหัวหน้าพรรค คือ เราต้องมั่นใจว่า หัวหน้าพรรคเรามีจุดยืนที่หนักแน่นและชัดเจนในการรักษาอุดมการณ์ของพรรค ในการปกป้องประโยชน์ของประเทศ
และนี่คือสาเหตุหลักที่ผมประกาศชัดในการยืนยันที่จะสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์
พรรคเราโชคดีที่มีผู้สมัครหัวหน้าพรรคที่มีคุณภาพทั้งสามคน แต่หากถามว่าใครพร้อมที่สุดที่จะเป็นนายกฯในสถานการณ์ปัจจุบัน ผมว่าคำตอบชัดเจนคือคุณอภิสิทธิ์
เราต้องเลือกคนที่เป็นไปได้มากที่สุด เพราะหากเราตั้งใจเพียงจะเลือกหัวหน้าพรรคที่จะพร้อมยอมให้คนนอกพรรคเป็นนายกฯ-
ผมว่านั่นคือความคิดที่จะยิ่งทำให้พรรคอ่อนแอ และสุดท้ายมีสิทธิ์ล่มสลาย
ส่วนประเด็นที่สำคัญที่รอคอยการแก้ปัญหาคือเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ
เรื่องนี้ผมยิ่งมั่นใจ เพราะรอบที่แล้วที่เป็นรัฐบาลเราได้แก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจระดับโลกกันมาแล้ว ช่วงนั้นราคาพืชผลดีหมด ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น 150% การลงทุนกระจายไปทั่วประเทศ และเราทำทุกเรื่องนี้โดยไม่ได้เพิ่มหนี้ให้กับประเทศและประชาชน
ทั้งหมดทีมเศรษฐกิจทำงานคล่องตัวเพราะเรามีนายกฯที่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างดี และด้วยประสบการณ์และความรู้ที่สะสมมา จึงไม่มีเรื่องไหนที่ราชการจะมาอำคุณอภิสิทธิ์ได้ (ประเด็นนี้สำคัญมากในการบริหารประเทศ)
ส่วน 4 ปีที่ผ่านมานี้ คุณอภิสิทธิ์ได้เดินสายพบปะกับนักธุรกิจทุกสาขา เพื่อรับฟังปัญหาและข้อแนะนำ ผมไปด้วยเป็นสิบๆครั้ง แต่คุณอภิสิทธิ์ไปมาเป็นร้อยนัด และปีหน้าไทยเราจะเป็นประธานอาเซียนอีกครั้ง ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแรงในขั้วอำนาจในภูมิภาคนี้ ใครจะเป็นผู้นำที่เรามั่นใจที่สุด ในการรักษาประโยชน์ของประเทศไทย?
สำหรับผมคำตอบชัดเจน คือคุณอภิสิทธิ์
และที่ผมเชียร์ไม่ใช่เพราะความเป็นเพื่อนกันแต่สมัยเรียน แต่เป็นเพราะในความใกล้ชิดที่มีระหว่างกัน ทำให้ผมเห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่ไม่ลดดีกรีลง
เรามักจะอยากได้ตัวเลือกที่เก่ง ที่ดี มีประสบการณ์ และซื่อสัตย์ ผมจึงไม่อยากให้อารมณ์เบื่อ (ถ้ามี) มาครอบงำเหตุผลและข้อเท็จจริง เพราะในตัวคุณอภิสิทธิ์เรามีผู้ครบคุณสมบัติทุกข้ออยู่แล้ว
ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันต้องเป็น “อภิสิทธิ์” เท่านั้นครับ
อีกท่านหนึ่งที่ก็ออกตัวสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ชัดเจน คือ นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา และอดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ที่ผ่านมาผมชื่นชมในตัวท่านอภิสิทธิ์ ที่หาเสียงไม่เคยกล่าวโจมตีใคร ไม่ทำให้พรรคเสียหาย ไม่มีการเสนอตำแหน่งใดๆ มีแต่เสนอผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลัก จึงถือเป็นจุดแข็ง ท่านได้ใจจากผมเพราะเป็นคนมีอุดมการณ์ มีความซื่อสัตย์ และที่ถูกใจที่สุดคือ การสนับสนุนการกระจายอำนาจ จึงเชื่อว่าหากได้รับฉันทานุมัติจากสมาชิกพรรคครั้งนี้ ท่านจะทำงานจริงจังมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ทำให้มีการต่อรองต่างๆ แต่เมื่อมาจากคนทั้งประเทศก็ไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว” นายนิพนธ์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครทุกคนล้วนมีผู้สนับสนุน เช่น นายแพทย์วรงค์นี้ ผู้สนับสนุนอยู่ในพื้นที่ ไม่ออกสื่อ ไม่โฉ่งฉ่าง แต่คาดว่าจะได้คะแนนมาก เพราะผสานพลังกับนายถาวร เสนเนียม ดร.ศุภชัย ศรีหล้า และผู้สนับสนุนอีกหลายคน เดินเก็บคะแนนจากพื้นที่มากกว่าจาก “พื้นที่ข่าว”
ค่ำวันที่ 5 พ.ย.ก็จะรู้ผล ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดกันตรงๆ ขับเคี่ยวกันแค่ระหว่าง “อภิสิทธิ์” กับ “หมอวรงค์” เท่านั้นแหละ จึงอยากเห็นทีมหมอวรงค์ออกมานำเสนอเหตุผลว่าทำไมจึงจะเลือกหมอวรงค์แบบที่กรณ์ทำบ้าง
คาดการณ์กันว่า ถ้าอภิสิทธิ์ชนะ พรรคก็จะเป็นไปในแนวการนำแบบอภิสิทธิ์
ถ้าหมอวรงค์ชนะ พรรคคงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทั้งหมดอยู่ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะเลือกใคร การเลือกนั้นคือการประกาศความแข็งแกร่งของการเป็นผู้นำประชาธิปไตย อยู่ที่ว่า พรรคจะกระตุ้นให้สมาชิกมาลงคะแนนได้มากเพียงใด ซึ่งสำคัญไม่แพ้ประเด็นว่าใครจะชนะ
สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จึงควรร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ ก้าวแรกแห่งความสมบูรณ์แบบทางประชาธิปไตยในครั้งนี้ให้ท่วมท้น เพื่อเป็นแบบอย่างให้พรรคการเมืองอื่นๆ ได้เปิดโอกาสให้แก่สมาชิกของพวกเขาบ้าง อันเป็นบรรทัดฐานทางประชาธิปไตยที่ดี ที่ทุกพรรคควรทำเสียที!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี