กระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เริ่มต้นวันนี้ กำลังสร้างมิติใหม่ให้กับการเมืองไทย จากที่แต่ก่อนการเป็นสมาชิกพรรคที่สังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้มีผลให้ สมาชิกมีสิทธิ์มีเสียงใดกับการบริหารพรรค หรือกระทั่งจำนวนสมาชิกพรรคก็ไม่ได้เป็นเครื่องสะท้อนถึงความนิยมของพรรค และผลการเลือกตั้งว่าจะมีคะแนนเท่าจำนวนสมาชิกพรรคจริงๆ สิ่งที่สมาชิกพรรคทำได้อย่างมากก็ไม่เกินไปกว่าการแสดงความคิดเห็น หรือทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรคเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับในต่างประเทศที่สมาชิกพรรคเป็นเครื่องสะท้อนถึงผู้ร่วมอุดมการณ์ของพรรคนั้นๆ ที่พร้อมจะสนับสนุนผู้สมัครในพื้นที่ต่างๆในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจำนวนสมาชิกพรรคก็เป็นเครื่องสะท้อนความนิยมในอุดมการณ์ของพรรคและนโยบายของพรรคในช่วงเวลานั้นๆ
สำหรับการหยั่งเสียงเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 1-5 พฤศจิกายน 2561 ที่จะถึงนี้ ที่กล่าวว่า กำลังเป็นก้าวแรกที่จะสร้างการเมืองไทยในมิติใหม่ ก็เพราะการกำหนดให้มีการหยั่งเสียงเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเป็นการสร้างมาตรฐานทางการเมือง ที่ประกาศจุดยืนของพรรคถึงความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคเอง และการให้อำนาจที่แท้จริงในการกำหนดอนาคตพรรคกับประชาชนผู้เป็นสมาชิกในการเลือกผู้นำพรรคก่อนการสู้ศึกเลือกตั้ง
แล้วประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไรภายใต้การนำพรรคของผู้สมัครหัวหน้าพรรคทั้งสามคน เริ่มต้นจากนายอภิสิทธิ์ อดีตหัวหน้าพรรค 3 สมัย โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน มีการปรับโครงสร้างการบริหารโดยการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคทั้งหมด 3 คน แต่เมื่อย้อนกลับไปดูแล้วก็พบว่าจริงๆแล้วนายอภิสิทธิ์ผ่านการลงแข่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 เป็นผู้ท้าชิงกับนายบัญญัติและพ่ายแพ้ไป ส่วนอีก 3 ครั้งไม่มีคู่แข่งโดยเป็นการรับรองโดยที่ประชุมใหญ่พรรคเท่านั้น และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ในการลงแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในกติกาใหม่ และคู่แข่งหน้าใหม่อีก 2 คน จึงนับว่าเป็นความกดดันในใจไม่น้อย
หลายคนอาจมองว่า เกมการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นการแข่งขันจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการเปิดช่องเพื่อเดินหาเสียงก่อนเวลาเลือกตั้งเท่านั้น แต่ไม่ว่าที่มาจะเป็นอย่างไรจากการตรวจสอบสถานการณ์ภายในแล้วบอกได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปจากจุดเริ่มต้นเป็นอย่างมาก เมื่อครั้งเปิดตัวผู้สมัครทั้งสามคน ทุกคนก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไงอภิสิทธิ์ก็ชนะอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงนักข่าวสายพรรคจะรู้ดีว่าสถานการณ์ภายในตอนนี้ ไม่ใช่การแข่งกันเล่นๆ หรือแบบฉันพี่น้องแบบที่นายบัญญัติ และนายจุติได้กล่าวไว้ แต่เป็นการแข่งขันแบบจริงจัง ที่เหมือนมี 2 พรรคในพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงขนาดพี่ใหญ่อย่างนายชวน ต้องออกมาปรามบ้างแล้ว โดยหากใครจับน้ำเสียงได้ ก็จะทราบถึงความกังวลถึงการแบ่งข้างของคนในพรรค ตั้งแต่ระดับอดีต สส. ไปจนถึงสาขาพรรค หรือแกนนำมวลชนในต่างจังหวัด ที่มีการแข่งขัดชัดเจนว่าสนับสนุนเบอร์ใด ซึ่งจะแข่งขันกันมากขึ้น จนนึกภาพไม่ออกว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมีสภาพเป็นอย่างไร?
ส่วนเรื่องของการทำไพรมารีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากจุดเริ่มต้นจากข้อกำหนดตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยที่มาของ สส. ที่กำหนดให้ทำไพรมารีโหวต แม้สุดท้ายจะมีการใช้ ม. 44 ในการยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศตัวว่าจะทำ และได้เดินหน้าไปแล้วซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเด่นของพรรคประชาธิปัตย์ ที่หัวหน้าพรรคมาจากการเลือกตั้งจริงๆ ไม่ได้มาจากการแต่งตั้ง หรือควบคุมโดยใคร แต่กระนั้นผลของการทำไพรมารีหัวหน้าพรรคก็ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าใครเป็นหัวหน้าพรรค ด้วยกฎหมายที่ยังให้ที่ประชุมใหญ่พรรคเป็นผู้รับรองว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรคก็ทำให้กระบวนการไพรมารีหยั่งเสียงไม่ได้เป็นการรับรองหัวหน้าที่สมบูรณ์ โดยที่สุดแล้วใครจะได้เป็นหัวหน้าพรรคก็ในวันที่ 11 พ.ย. นี้ที่จะมีการประชุมใหญ่สามัญพรรคเพื่อรับรองคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่า จะฟังเสียงประชาชน ซึ่งต้องมาพิสูจน์ต่อไปว่าจะฟังเสียงการหยั่งเสียงประชาชนหรือไม่? ที่พูดเช่นนี้เพราะจากการสอบถามข้อมูลภายในพรรค พบว่า ผลการหยั่งเสียงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด โดยตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็ไม่ได้แน่นอนว่าจะเป็นอภิสิทธิ์ที่นอนมาอย่างที่หลายคนมั่นใจ
คำถามว่า นายอลงกรณ์ มีที่มาอย่างไรถึงมาลงสมัครแข่งขันในตำแหน่งหัวหน้าพรรค ถ้านับไปแล้วหากวัดพรรษาทางการเมือง นายอลงกรณ์เป็น สส. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งแรกในปี 2535 เท่ากับนายอภิสิทธิ์ แต่ที่จริงๆ เข้าสู่วงการการเมืองก่อน โดยปฏิบัติหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของนายชวนขณะเป็นนายกฯ ถือเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนายชวน และเป็นคนแรกๆ ในไทยที่ผลักดันนโยบายพลังงานทดแทน แต่ที่เป็นผลงานเปิดตัวจริงๆ คือฝีไม้ลายมือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และถือว่า เป็นมือปราบทุจริตคนหนึ่งของประชาธิปัตย์ จนได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลอภิสิทธิ์ และไม่โดนปรับ ครม. จนหมดวาระ แต่แม้จะมีที่มาที่น่าสนใจ แต่หลายคนยังตั้งคำถามถึงการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเนื่องจากนายอลงกรณ์ ไม่มีกลุ่มฐานสนับสนุนในพรรค เพราะทำงานลุยเดี่ยวมาตลอด จึงทำให้มองได้ว่า เป็นการปูทางกลับเข้าสู่พรรคหลังจากออกไปทำงานใน สปช. สปท. ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาหรือไม่?
ส่วนของหมอวรงค์ คำถามว่า เหตุใด นพ.วรงค์ จึงหาญกล้ามาท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ทั้งที่เป็น สส. ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่นานนัก และกลุ่มเพื่อนหมอวรงค์เองที่ส่วนใหญ่เป็นอดีต สส. ภาคเหนือ ซึ่งพูดไปแล้วเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีเสียงในพรรคมากนัก รวมถึงไม่มีอดีต รมต. และนายทุนให้การสนับสนุนอยู่เลย และไม่มีวี่แววในการจะลงแข่งหัวหน้าพรรคมาก่อนเลยใช่หรือไม่?
ผลงานเด่นชิ้นเดียวของหมอวรงค์ คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจโครงการจำนำข้าวเพียงเรื่องเดียว? แต่เมื่อประกาศตัวลงแข่งหัวหน้าพรรค ก็ปรากฏผู้อยู่เบื้องหลังที่ออกหน้าชัดเจนขึ้น ซึ่งถือเป็นระดับบิ๊กภาคใต้อย่างนายวิทยา แก้วภราดัย และคีย์แมนสำคัญอย่างนายถาวร เสนเนียม ซึ่งทั้ง 2 คน คือ อดีตแกนนำ กปปส. และถือเป็นคนสนิทที่นายสุเทพไว้วางใจเป็นอย่างมาก จนหลายคนคิดว่าตอนตั้งพรรค รปช. สายใต้ประชาธิปัตย์น่าจะหายไปไม่น้อย เนื่องจากข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างอภิสิทธิ์ และสุเทพมีมาตั้งแต่การประกาศไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ของนายอภิสิทธิ์ ในขณะที่กลุ่ม กปปส. มีท่าทีชัดเจนที่จะสนับสนุนรัฐบาล คสช.? สุดท้ายดูเหมือนว่าความเป็นไปของพรรคประชาธิปัตย์ ก็หนีไม่พ้นการวัดกลุ่มขุมกำลังในภาคใต้อยู่ดีใช่หรือไม่ และตัวชี้วัดว่าใครจะได้เป็นหัวหน้าพรรคก็อยู่ที่ สส. และสมาชิกพรรคในภาคใต้ ซึ่งหากไล่ดูรายชื่อของทั้งสองขั้ว เทียบจำนวน สส. และแกนนำสมาชิกพรรคแล้ว ก็บอกได้ว่าเก้าอี้หัวหน้าพรรคในตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอภิสิทธิ์ที่นอนมาอย่างที่คิดในตอนต้น และวันที่ 1-5 พ.ย.นี้ นายอภิสิทธิ์เองก็คงนั่งไม่ติดเก้าอี้เป็นแน่
ความเป็นไปของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้อาจมีผลต่อการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงมากกว่าที่คิด และอาจมีผลถึงลิสต์รายชื่อนายกฯที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอหรือไม่? ผลการเลือกหัวหน้าพรรคว่าจะเป็นใครต่อไปจึงไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดเช่นกัน........
จับโจรต้องได้ของกลาง หากไม่มีหลักฐานผูกมัด ได้แต่ทนนิ่งเฉย เฉกเช่นคนใบ้อมบอระเพ็ด
โกวเล้ง จากเรื่องดาบมรกต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี