ได้พูดมาให้ฟังในตอนที่ผ่านมา ถึงความทุจริตในวงราชการไทยขณะนี้ว่า ความทุจริตคดโกงโดยเฉพาะในหน่วยงานของรัฐขณะนี้เป็นปัญหาใหญ่ของสังคม เป็นปัญหาที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศ เป็นอุปสรรคที่สร้างความเจริญและความผาสุกแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง หรือเรื่องของระบบอุปถัมภ์ในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้
วันนี้มาว่ากันต่อ
กลุ่มนักการเมืองที่มาจากภาคธุรกิจใหญ่ๆ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตในวงราชการไทย เมื่อต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ก็มักหาช่องทางที่จะหาผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ต้องเสียไปหรือจ่ายไป ครอบคลุมไปถึงการเมืองท้องถิ่น ในการให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ
ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐต้องทำงานตามคำสั่งของพวกนักธุรกิจการเมืองเหล่านี้ เงินเดือนที่ไม่มากพอของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือข้าราชการในบางที่บางแห่งก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นช่องทางให้มีการทุจริตในหมู่ข้าราชการเหล่านี้ในเรื่องการจัดซื้อจัดหาสิ่งต่างๆ
เมื่อใดที่มีการประมูลต่างๆ ความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐก็จะเกิดขึ้น เนื่องมาจากผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยจะสนใจ หรือบางแห่งก็ร่วมมือด้วย ทำให้การทุจริตขยายวงกว้างมากขึ้น
เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ที่ต้องการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ ความโลภ ความอยากมีอยากได้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการทุจริต
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ภาครัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและเป็นแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติปฏิบัติตนไม่ดี ทำให้การทุจริตในวงราชการไทยขยายตัวออกไปได้เรื่อยๆ
สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการทุจริตในวงราชการไทยก็คือ เรื่องของ “นโยบายประชานิยม” ทำให้เกิดการรั่วไหลของเงินแผ่นดินมากขึ้น ประเทศเสียโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการพัฒนาในจุดที่จำเป็น เพราะต้องเอาเงินไปใช้ในโครงการประชานิยมดังกล่าว
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ถ้าจะสรุปสาระสำคัญของการทุจริตในวงราชการไทยขณะนี้ ก็สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
สาเหตุและผลลัพธ์ของการทุจริตในวงราชการไทยในภาพรวม มาจากสาเหตุหลักใหญ่ๆ 3 สาเหตุด้วยกัน คือ
1. สาเหตุทางด้านการเมือง
ได้แก่ ระบบอุปถัมภ์ ระบบอาวุโส ระบบบุญคุณและพวกพ้อง สภาพแวดล้อม ต้องการหาอำนาจ ระบบเลื่อนขั้น การผูกขาดทางงบประมาณ ความหละหลวมไม่ใส่ใจ การขาดภาวะทางผู้นำ ที่ห่างไกลในเรื่องความโลภ โกรธ หลง
2. สาเหตุทางด้านเศรษฐกิจ
ได้แก่ค่านิยมแบบทุนนิยม ไม่รู้จักพอของผู้มีอำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐรับสินบน ผู้มีอำนาจเอื้อประโยชน์โดยได้รับประโยชน์ตอบแทน
3. สาเหตุทางด้านสังคม
การมีค่านิยมยกย่องคนมีเงินโดยไม่เลือก สังคมอ่อนแอ ขาดจิตสำนึกในคุณธรรม จริยธรรม ฟุ้งเฟ้อด้วยวัตถุนิยม และเงินตรานิยม
ในเรื่องที่เกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาทุจริตในวงราชการไทยดังกล่าว สามารถแบ่งได้ 2 อย่างคือ
1. ปลูกจิตสำนึก ด้านคุณธรรมและจริยธรรม ปรับทัศนคติค่านิยมเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนรุ่นใหม่ สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน ปราบปรามการทุจริต กระจายอำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการลงโทษ การตรวจสอบอำนาจรัฐ การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ให้ความอิสระแก่สื่อและองค์กรมวลชนในการตรวจสอบการทุจริต
2. ผู้นำประเทศในการบริหารบ้านเมือง ต้องมีจิตสำนึก ไม่ทุจริต และสามารถควบคุมนักการเมืองได้ตามกลไก และระเบียบที่มีอยู่ หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการป้องกัน ปราบปรามการทุจริต ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยเด็ดขาดตามหน้าที่
มีการประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และมีการปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็ว
นโยบายในการทำงานของรัฐมนตรีในคณะในเรื่องดังกล่าว ถ้ารัฐมนตรีคนใดไม่ปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ต้องมีการลงโทษอย่างเด็ดขาด
จัดตั้งสื่อโซเชียลมีเดีย ในรูปแบบของ “ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นของชาติ” ทั่วประเทศ เพื่อทำให้เกิดการส่งข้อมูล และติดตามการทุจริตของข้าราชการและนักการเมือง ผ่านทางระบบไลน์ เฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ ซึ่งจะได้รับข่าวสารที่รวดเร็ว โดยมีประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้เฝ้าระวังและติดตาม
ทำได้แค่นี้ก็น่าจะช่วยให้ปัญหาการทุจริตในวงราชการไทย ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ลดน้อยลงไปได้ ขอฝากไว้แค่นี้แหละ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี