ตอนที่ 2
ปัญหาประการต่อมาก็คือ คำว่าหนังสือสัญญานี้คืออะไร เป็นสัญญาที่ทำเป็นหนังสือหรือเป็นตัวหนังสือฉบับเดียวหรือเป็นอย่างไรในการจะพิจารณากรณีนี้ มีอยู่ 2 ความเห็น
คือฝ่ายที่เห็นว่าคำว่า “หนังสือสัญญา” กับ “สัญญา”เป็นคำคำเดียวกัน ไม่ได้แยกกัน กับฝ่ายที่เห็นว่าเป็นคนละคำคนละความหมายกัน
ฝ่ายที่น่าจะถูกต้องก็คือฝ่ายที่เห็นว่าสัญญากับหนังสือสัญญาเป็นคำคำเดียวกัน จากการได้เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญของประเทศอื่น เพราะรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเกิดขึ้นทีหลังประเทศอื่นๆ เมื่อปีพ.ศ. 2475 ในการยกร่างรัฐธรรมนูญจึงได้รับอิทธิพลมาจากรัฐธรรมนูญของประเทศที่มีอยู่ก่อนแล้ว ข้อความทำนองนี้ที่ประเทศไทยได้แปลงมาจากรัฐธรรมนูญของประเทศอื่น ซึ่งใช้คำว่า treaty ซึ่งแปลว่าสนธิสัญญา นอกจากนั้นในคำแปลรัฐธรรมนูญของประเทศไทยฉบับปัจจุบันซึ่งทางราชการเป็นผู้จัดทำ ในมาตรา 178 ก็ใช้คำว่า treaty เหมือนกัน The king has the Royal Prerogative to conclude a peace treaty (สัญญาสันติภาพ), armistice (สัญญาสงบศึก) and othertreaties คือเป็นคำเดียวกัน เชื่อว่าหนังสือสัญญานั้นจะหมายความตรงกับคำว่า treaty ไม่ใช่อะไรที่เป็นสัญญาหรือเป็นหนังสืออย่างเดียวแยกจากกัน ส่วนคำว่า conclude ในกฎหมายว่าด้วยการทำสัญญาจะมีระยะเริ่มต้นของการทำสัญญา คือตอนที่เจรจาตกลงกันได้ในชั้นแรกและจะมาเสร็จสมบูรณ์ตอนที่ผ่านกระบวนการอื่นแล้วรัฐบาลให้สัตยาบัน คือการให้การรับรองโดยการรับเป็นข้อผูกพันแล้ว เมื่อให้สัตยาบันจึงจะผูกพันถือว่าเป็นสัญญา
ต่อมาข้อความที่ว่า “หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย” ซึ่งมีตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก มาจนถึงฉบับปัจจุบันนี้ก็ยังมีประโยคนี้อยู่ และมีข้อความต่อไปในฉบับปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาว่า “หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย”ก็ไม่ชัดเจนว่าการมีบทเปลี่ยนแปลงนั้นคือการเปลี่ยนแปลงที่มีมากขึ้นหรือน้อยลงของอาณาเขต ซึ่งอาณาเขตนี้ก็เป็นเพียงเส้นในจินตนาการ ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง แต่กฎหมาย เช่น กฎหมายอาญาก็จะยังใช้คำว่าอาณาเขตเป็นอันมาก คำว่าอาณาเขตไทยอยู่ตรงไหนไม่มีใครรู้ แต่รู้ว่าอยู่ที่องศาใด รู้จากแผนที่ ซึ่งเป็นเสมือนโฉนด แต่บนพื้นดินต้องไปวัดกัน การไปวัดก็ต้องวัดว่าอยู่ระหว่างหลักใด เส้นวัดระหว่างหลักกับหลักเป็นเส้นตรง เส้นบนพื้นที่จริงๆ ต้องวัดกับดวงดาว วัดกับทางเทคนิค กว่าจะนำหลักลงได้ แต่อาณาเขตบางทีก็ใช้ธรรมชาติ เช่น เส้นเขา ลำน้ำ หากใช้ภูเขาแล้วหลักจะอยู่ตรงไหนของภูเขา บางแห่งก็เป็นสันปันน้ำหรืออาจเป็นเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งมีหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น อาณาเขตทางทะเล เช่น มีทะเลอาณาเขต มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีไหล่ทวีป ถ้าเปลี่ยนแปลงเขตเหล่านั้นก็เข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยซึ่งไม่ใช่อำนาจอธิปไตย
จะเห็นได้ว่าถ้อยคำแต่ละคำที่อยู่ในวรรคนี้จะเชื่อมโยงกับกฎหมายอื่นด้วย แสดงให้เห็นว่าปัญหาในการปฏิบัติว่าถ้าหากไม่พิจารณาให้ดี ไม่ได้เทียบเคียงกับที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศเพราะความในวรรคหนึ่งของมาตรา 178 นี้จะเป็นบทหลัก คือ ฝ่ายบริหารเป็นผู้ทำสัญญากับต่างประเทศทุกชนิด วรรคสอง จึงจะเป็นข้อยกเว้นว่าหนังสือสัญญาใดต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงต้องพิจารณาในการใช้การตีความให้ดี
มาตรา 178 วรรคสอง ความว่า “หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ”
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าความในวรรคนี้เป็นข้อยกเว้นหลักการของวรรคแรก กล่าวคือฝ่ายบริหารมีอำนาจในการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศทุกชนิด แต่หากเป็นหนังสือสัญญาที่กำหนดไว้ในวรรคนี้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย การพิจารณาข้อยกเว้นก็ต้องตีความด้วยความเข้าใจในตัวหนังสือทุกตัวในขอบเขตอย่างชัดเจนซึ่งแต่ละเรื่องมีหลักกฎหมายอยู่ทั้งนั้น คำว่าหนังสือสัญญาใดต้องดูแต่ละหนังสือสัญญาไป เพราะถ้าเข้าข้อยกเว้นก็ต้องให้สภาให้ความเห็นชอบ คำถามคือทำไมต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบเรื่องนี้คำตอบไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมายและมีผู้ให้ความเห็นไว้แตกต่างกัน รัฐสภาให้ความเห็นชอบในหนังสือสัญญาที่ไปเจรจากันมาเฉพาะการให้ทำสัญญาตามหนังสือสัญญาหรือไม่เท่านั้น แต่จะไปเปลี่ยนแปลงข้อความไม่ได้ เพราะตกลงกันเอาไว้แล้ว
ความในวรรคนี้มีทั้งเรื่องหลักกฎหมาย มีทั้งที่ต้องมาตีความและต้องมีหลักของการตีความ เช่น กฎหมายอาญาตีความโดยเคร่งครัด เช่นเดียวกับในมาตรานี้ที่ความในวรรคหนึ่งเป็นหลัก วรรคสองเป็นข้อยกเว้นต้องตีความโดยเคร่งครัดผลจะได้แคบลงมา เช่น “หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมทางการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง” ถ้อยคำนี้เป็นปัญหามาก เรื่องที่ “อาจจะมีผลกระทบ” จะรู้ได้อย่างไร คำว่าอาจนี้จะเอาอะไรมาตัดสิน “ความมั่นคง” คืออะไร “ผลกระทบ”นี้กระทบทางไหน ทางบวกหรือลบ ใช้อะไรเป็นตัววัด “ทางเศรษฐกิจ” จะรู้ได้อย่างไร ใครเป็นผู้คาดการณ์ประเมินจากเวลาใด และในความเป็นจริงการประเมินเหตุการณ์ในวันนี้กว่าจะรู้ผลอาจรู้เมื่อได้มีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจไปแล้วอย่างน้อยที่สุด 3 เดือน 6 เดือนกว่า จะรู้ผลว่าเป็นอย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่อง “ทางสังคม” อีก สังคมก็เกี่ยวกับคนที่อยู่ในสังคมหรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศไทยโดยจะถือเป็นการที่ประเทศไทยไปลงทุนหรือคนอื่นมาลงทุนในประเทศไทย “อย่างกว้างขวาง” จะใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดคำว่าอย่างกว้างขวางนี้มาเพิ่มในรัฐธรรมนูญฉบับท้ายๆ เพราะต้องการควบคุมรัฐบาล รัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ให้อำนาจรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบ รัฐบาลทำตามอำเภอใจ ภายหลังจึงต้องการควบคุมรัฐบาลให้มากขึ้น จึงได้กำหนดเงื่อนไขให้มากขึ้น
กล่าวโดยสรุป ที่ว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาคือเห็นชอบให้ทำสัญญาตามหนังสือสัญญาหรือไม่เท่านั้นหนังสือที่ได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก็ตามที่กำหนดไว้ โดยรัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบภายใน 60 วัน จากวันที่ได้รับเรื่องหากพิจารณาแล้วไม่แล้วเสร็จให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ นี่คือตัวอย่างที่ดีว่าเมื่อมีการตีความก็จะมีปัญหาทุกขั้นตอนในเรื่องนั้นเพราะแต่ละเรื่องก็มีหลักการตีความเฉพาะของตนเอง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อรุณ ภานุพงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี