ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม มีเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาน่าสนใจ คือว่า ครม.ได้ อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … ตามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้หารือกันแล้วและเสนอมา
ความจริงเรามี พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมก็มีอยู่แล้ว แต่ต้องพัฒนาและปรับปรุงอีก เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าเดิม ทั้งผู้เรียนและครูผู้สอนที่ต้องปฏิรูปกันยกใหญ่
อีกฉบับคือ ครม.อนุมัติและรับทราบหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. ....
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการเตรียมพร้อมเด็กไทย ตั้งแต่ยังไม่เกิดเพื่อให้เด็กไทยมีคุณภาพ ทุกคนต้องได้รับการดูแล พัฒนาและจัดการเรียนรู้ โดยให้อยู่รอดปลอดภัยและได้รับการคุ้มครองจากการล่วงละเมิดไม่ว่าในทางใด ให้มีพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและปัญญาที่ดีสมวัย สามารถเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับหลักการพัฒนาศักยภาพและความต้องการจำเป็นพิเศษ ซึมซับสุนทรียะและวัฒนธรรมที่หลากหลายได้ มีอุปนิสัยใฝ่ดี มีคุณธรรม มีวินัย ใฝ่รู้ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ฯลฯ
ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำเร่งด่วน
แต่ก่อนหน้านี้ ผมเก็บข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้ช่วยผู้จัดการ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) น่าสนใจ
โดยอ้างอิง จากรายงานดัชนีพัฒนาทุนมนุษย์ของเวิลด์แบงก์ หรือ Human Capital Index (HCI) ที่รายงานค่าเฉลี่ยของจำนวนปีการศึกษาของเด็กไทยอยู่ที่ 12.4 ปี แต่มีจำนวนปีของการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอยู่เพียง 8.6 ปี ช่องว่างประมาณ 4 ปีนี้สะท้อนว่า แม้เด็กไทยจะอยู่ในระบบการศึกษานานถึง 12 ปี แต่ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพหากนำไปพิจารณารวมกับดัชนีทุนมนุษย์ของประเทศไทยที่มีค่า 0.6 หมายความว่า โดยเฉลี่ยแล้วเด็กไทยที่เกิดวันนี้ จะมีผลิตภาพเพียงประมาณ 60% ของศักยภาพสูงสุดของเขา (Full Productivity)เท่านั้น
“ปัจจุบันไทยลงทุนในด้านการศึกษาถึง 6.1% ของจีดีพีประเทศ และสุขภาพ 3.7% ของจีดีพี รวมแล้วลงทุนสูงเกือบ 10% ของจีดีพี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งบประมาณว่าไม่พอ แต่ต้องลงทุนให้ไปถึงปัญหาที่แท้จริง มุ่งจัดสรรทรัพยากรอย่างเสมอภาคและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อขยับดัชนี HCI ให้สูงขึ้นหรือทำให้มีทุนมนุษย์เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต” ดร.ไกรยส กล่าว
ดร.ไกรยสกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังมีช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูงเกือบ 20 เท่า คือ เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ยากจนที่สุด 20% แรกของประเทศ มีโอกาสแค่ 5% เท่านั้นที่จะไปสู่การศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้ ในขณะที่เด็กที่อยู่ในครอบครัวร่ำรวยที่สุด 20% แรกของประเทศ มีโอกาส 100%
หากประเทศไทยต้องการเติบโตยั่งยืนในอนาคต ต้องปฏิรูปกระบวนการลงทุนในมนุษย์ทั้งด้านสุขภาพและด้านการศึกษา โดยปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านเราหลายประเทศมีค่าดัชนีทุนมนุษย์ที่สูงกว่าไทยไปแล้ว เช่น จีน (0.67) เวียดนาม (0.67) และ มาเลเซีย (0.62) ประเทศเหล่านี้สามารถลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ได้มีประสิทธิภาพกว่าไทย ทำให้ในอนาคตจะมีความมั่นคงยั่งยืนและมีแนวโน้มแซงหน้าประเทศไทยได้
ดร.ไกรยส กล่าวว่า ค่าดัชนี HCI ที่ 0.6 ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยไม่มีคนเก่งที่มีผลิตภาพสูง แต่ปัญหาอยู่ที่การจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาทุนมนุษย์ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีประสิทธิภาพ ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ซึ่งหากหน่วยงานต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ก็จะส่งผลต่อการเพิ่มค่าดัชนีทุนมนุษย์ให้ดีขึ้นได้ กสศ. เองก็มีมาตรการสนับสนุนที่จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเพิ่มดัชนีพัฒนาทุนมนุษย์ (HCI)ได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการขจัดปัญหาเด็กนักเรียนนอกระบบการศึกษา การอุดหนุนงบประมาณช่วยเหลืออย่างมีเงื่อนไขสำหรับเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ ทุนส่งเสริมโอกาสการศึกษาสำหรับเด็กยากจนที่เรียนดี และลดช่องว่างคุณภาพการศึกษาระหว่างโรงเรียน
“ปัญหาการศึกษาในประเทศไทยเหมือนแฝดสยาม หมายถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาคู่กับความเหลื่อมล้ำทางรายได้มีความเกี่ยวเนื่องกันและต้องแก้ไขควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบ เราไม่สามารถพาเด็กที่หลุดออกมานอกระบบการศึกษากลับเข้าโรงเรียนแล้วหวังว่าเขาจะไม่หลุดออกมาอีกได้ หากว่าปัญหาความยากจนและด้อยโอกาสของเด็กและครอบครัวเหล่านี้ซึ่งกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ทั้งด้านโภชนาการ และการเดินทางมาโรงเรียนยังเป็นปัญหาอยู่ ดังนั้นเราต้องแยกปัญหาความยากจนออกมาบรรเทาแก้ไขให้ดีขึ้น มาตรการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาจึงจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้จริง” ดร.ไกรยส กล่าว
ครับก็ถือเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการพิจารณา ก็ช่วยกันเสนอแนะ และแก้ไขปัญหาให้เด็กไทยมีโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี