ด้วยเจตนารมณ์ที่ประสงค์ให้ท่านผู้อ่านได้มุมมองและประสบการณ์ที่ดีและมีความหลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความตั้งใจที่จะพัฒนานักคิด นักเขียนรุ่นใหม่ๆ สัปดาห์นี้ คอลัมน์ของผมจึงนำเสนอมุมมองจากคณะทำงานของผมต่อเนื่อง โดยนำบทเรียนดีๆ จากงานสัมมนาระดับนานาชาติเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) ในกลุ่มมหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมาโดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยจาก 12 ประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผมได้รับเกียรติให้ปาฐกถาพิเศษ (Keynote Speaker) ด้วย ซึ่งทีมวิชาการของผมก็ได้นำสาระสำคัญ ของการประชุมในครั้งนี้ เสนอเป็นบทความได้อย่างน่าสนใจ มีหลายประเด็นที่สำคัญต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยในกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน
ประเด็นท้าทายและยุทธศาสตร์ทุนมนุษย์มหาวิทยาลัยในยุค 4.0
พิชญ์ภูรี จันทรกมล / วราพร ชูภักดี / จิตรลดา ลียากาศ
จากการที่มีโอกาสได้เข้าร่วมในการประชุม InternationalConference on Human Resources Management in Higher Education ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับมหาวิทยาลัยจาก 12 ประเทศทั้งในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในนามโครงการ Strategic Human Resources Management for Southeast Asian University (HR4Asia) ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือภายใต้การสนับสนุนของโครงการเอรัสมุส พลัส (Erasmus+ Program) โดยมีประเทศสมาชิกที่มาร่วมการประชุมครั้งนี้ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม ลาว สเปน ลิทัวเนีย และไทย
ในการประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมต่างเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์สำหรับสถาบันอุดมศึกษาต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยเฉพาะระหว่างมหาวิทยาลัยในยุโรปและเอเชีย รวมถึงการขยายเครือข่ายด้านทรัพยากรมนุษย์ระหว่างยุโรปและเอเชีย สิ่งสำคัญ คือ ทรัพยากรมนุษย์ไม่ใช่แค่กระบวนการการผลิตเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ต้องมีการค้นพบและลงทุนเพื่อพัฒนาองค์กรไปสู่อีกระดับหนึ่ง
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ปาฐกถาพิเศษ เรื่องสถาบันอุดมศึกษาไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน (Higher Education in Transition) ในการประชุม International Conference on Human Resources Management in Higher Education จัดโดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยจาก 12 ประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในนามโครงการ Strategic Human Resources Management for Southeast Asian University (HR4Asia) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา
พันธกิจสำคัญของมหาวิทยาลัย คือ การเป็นองค์กรฐานความรู้ ทุกมหาวิทยาลัยต้องมุ่งเน้นการพัฒนาด้านวิชาการไม่ว่าจะเป็นการสอนหรือการวิจัย ดังนั้น แต่ละมหาวิทยาลัยควรเริ่มพัฒนาและรักษาบุคลากรที่มีสมรรถนะสูงเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน การวิจัย พร้อมทั้งขยายเครือข่ายความร่วมมือในด้านการพัฒนาและบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้วิเคราะห์สถานการณ์ของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาไทย พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะ (Keynote) ในปาฐกถาพิเศษ เรื่องสถาบันอุดมศึกษาไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน (Higher Education in Transition) โดยเน้นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง และยุทธศาสตร์สำคัญคือการพัฒนาทุนมนุษย์ที่จะช่วยพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาไทยในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน (Disruptive Change) โดยสรุปดังนี้
(1) ระบบการศึกษาไทยรวมถึงระดับอุดมศึกษามีการเปลี่ยนผ่าน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 เป็นการปฏิรูปการศึกษา (Reform) ที่เปลี่ยนจากการเน้นปริมาณของสถานศึกษามาเป็นคุณภาพของการศึกษา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะหน่วยราชการที่ทำงานด้านการศึกษายังปรับตัวได้ค่อนข้างช้า ส่วนครั้งที่สอง กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นยุคของการเปลี่ยนผ่านอย่างพลิกผัน (Disruptive Change) มีหลายปัจจัยที่กระทบต่อประเทศไทย เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว (Disruptive Technology) ซึ่งฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องมองด้านความต้องการ หรือ Demand หรือในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “อุปสงค์” อันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตามให้ทัน แต่การจัดหา หรือ Supply หรือในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “อุปทาน” ซึ่งหมายความถึงการผลิตบุคลากรตามต้องการมักจะช้ามากจนไม่ทันการณ์
(2) ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งมหาวิทยาลัยจะต้องทำวิจัยและพัฒนาในหลากหลายมิติเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสำหรับผู้เรียนไม่ใช่แค่เพียงในกลุ่มอายุ 18-22 ปีเท่านั้น แต่ควรจะต้องขยายไปสู่กลุ่มคนวัยทำงานหรือกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น
(3) การที่มหาวิทยาลัยรัฐต้องออกนอกระบบ ต้องหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเอง ทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัยต้องทำงานเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ
(4) ประเทศไทย 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยให้พ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งหมายถึงภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และบางอุตสาหกรรมจะต้องสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น งานวิจัยในมหาวิทยาลัยต้องทำเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นสำคัญ
(5) ผู้บริหารระดับสูงของสถาบันอุดมศึกษาต้องลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ ไม่เพียงเฉพาะระดับผู้บริหาร และคณาจารย์เท่านั้น แต่รวมถึงบุคลากรสายสนับสนุนต้องได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมด้วย
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้นำเสนอทฤษฎีด้านทรัพยากรมนุษย์ของท่าน ที่ครอบคลุม 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ (1) การปลูกหรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HR Development) (2) การเก็บเกี่ยว หรือการบริหารจัดการ (HR Management) ซึ่งคือการสร้างแรงจูงใจให้ทรัพยากรมนุษย์ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนางานและมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะแรงจูงใจที่ไม่ใช่ตัวเงิน เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่มีคุณค่าทางจิตใจสูง เช่น ความสุข การได้รับเกียรติและศักดิ์ศรี รวมถึงความยั่งยืนในวิชาชีพ และ (3) การลงมือให้เกิดผลสัมฤทธิ์ (Execution) เพื่อการสร้างความสำเร็จและสร้างคุณค่าใหม่ๆ
ด้วยมุมมองความจริงของบริบทโลก รวมกับทักษะประสบการณ์หลายสิบปีในแวดวงทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) จนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคทุนมนุษย์ (Human Capital) ในปัจจุบัน กรอบแนวคิดและทฤษฎีสำคัญ “ปลูก เก็บเกี่ยว และลงมือทำให้สำเร็จ” ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ จึงสามารถนำไปปรับใช้เพื่อการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพได้อย่างครอบคลุม เป็นสากล มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนได้ทุกยุคสมัย
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี