เป็นประเด็นร้อนส่งท้ายเดือนตุลาคม 2561 จริงๆ สำหรับเพลงแร็พ “ประเทศกูมี” ผลงานของศิลปินกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า Rap Against Dictatorship (RAD)เนื้อหากล่าวถึงเรื่องลบๆ ในสังคมไทย โดยเฉพาะ “เมื่อภาครัฐมีท่าทีไม่พอใจ ยอดการเข้าชมในเว็บไซต์ยูทูบ (Youtube) ก็พุ่งกระฉุดจากหลักแสนปลายๆ ทะลุหลักสิบล้านในเวลาเพียงไม่กี่วัน” จนเจ้าของเพลงต้องขอปิดช่องแสดงความคิดเห็นเพราะเกรงจะควบคุมข้อความที่หมิ่นเหม่ผิดกฎหมายไม่ไหว
เรื่องนี้กำลังบอกอะไร?..หากมองย้อนไปในอดีตก็อาจกล่าวได้ว่าประชาชนรู้สึก “อัดอั้น” ที่ไม่สามารถพูดหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นพอมีใครคนหนึ่งกล้าเปิดตัวก็เลยเรียกเสียงสนับสนุนได้เป็นวงกว้าง ไม่ต่างจากยุคของ “เพลงเพื่อชีวิต” ราวทศวรรษที่ 2520s - 2530s ซึ่งบางเพลงถูก คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.) สั่งแบนไม่ให้ออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์ แต่กลับกลายเป็นอัลบั้มชุดที่มีเพลงนั้นอยู่ขายดีแบบเทน้ำเทท่า
บ่ายวันที่ 31 ต.ค. 2561 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) มีการจัดเสวนาเรื่อง “ศิลปะ อำนาจ และการขัดขืน / ยิ่งปิดตา + ยิ่งปิดปาก = ยิ่งอยากรู้” โดยมีตัวแทนกลุ่ม RAD นำโดย เดชาธร บำรุงเมือง พร้อมกับมิตรสหายแร็พเปอร์ร่วมอุดมการณ์อีก 2 คน มาร่วม “เปิดใจ” ที่มาที่ไปของเพลงประเทศกูมี ว่าต้องย้อนไปในปี 2559 ในเวลานั้น “Liberate P” ซึ่งวันก็เป็น 1 ในสมาชิก RAD ได้ทำเพลงนี้ไว้
“ถ้าเพลงออกมาปี 2016 (2559) ผมคิดว่ากระแสอาจจะไม่ดีเท่านี้ เพราะในปีที่ผ่านมา (2560) เราจะเห็นเพลงแร็พไปอยู่ในสื่อกระแสหลักหลายๆ ช่อง มีวงดนตรีกระแสหลักเอาแร็พเปอร์ไปร่วมทำเพลง ผมว่ามันทำให้คนรับรู้เกี่ยวกับดนตรีแร็พไปแล้ว ถามว่าภูมิใจไหม? ผมว่ามันเป็นความบังเอิญที่มันเข้ากับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นในประเทศไทยพอดี” เดชาธร กล่าว
ส่วน Liberate P เล่าเกี่ยวกับโจทย์ของเพลง นั่นคือ “อยากจะบอกว่าประเทศไทยมีอะไร” แต่เมื่อ 2 ปีก่อนยังเป็นเพลงที่แต่งไม่เสร็จสมบูรณ์ ต่อมาก็เห็นว่า “ประเทศกูมี..คำคำนี้ใครจะพูดก็ได้” เนื่องจากมีศิลปินแร็พบางคนที่แม้จุดยืนทางการเมืองแตกต่างกันแต่ก็รู้สึกชอบเพลงนี้ ดังนั้นจึงทำเพลงออกมาด้วยเชื่อว่าจะสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้แม้จะมีมุมมองการเมืองไม่เหมือนกันก็ตาม
“อาร์ต” อีก 1 สมาชิก RAD ที่มาร่วมในเวทีเสวนาด้วย กล่าวเสริมในประเด็นประเทศกูมีว่า “เรื่องนี้ใครๆ ก็พูดได้ผ่านสายตาของแต่ละคนว่าประเทศของตนเองมีอะไร” พร้อมกับย้ำว่า “ถึงประชาชนจะทะเลาะกันเพราะมีความเห็นแตกต่างก็ไม่เป็นไรขอเพียงอย่าให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงก็พอ” ดังคำว่า “All People Unite” ที่ปรากฏท้ายมิวสิกวีดีโอ
ขณะที่นักวิชาการด้านดนตรี รศ.ดร.สุชาติ แสงทอง อาจารย์สาขาวิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ เล่าถึงประวัติศาสตร์ “การเมืองเรื่องสงครามเพลง” ที่ทั้งฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐและฝ่ายต่อต้านนำเพลงมาใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กัน เช่นสมัย จอมพล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม ที่ส่งเสริมแนวคิดชาตินิยม ก็มีการแต่งเพลงรณรงค์วัฒนธรรมแบบรัฐนิยม อาทิ สวมหมวก กินก๋วยเตี๋ยว ส่วนฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐที่นิยมลัทธิจากประเทศจีน ก็ใช้เพลงที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีจีน
เช่นเดียวกับ ถนอม ชาภักดี อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ยกตัวอย่างสมัย “สงครามเย็น” ที่โลกแบ่งเป็นฝ่ายทุนเสรีนิยมกับสังคมนิยม กองทัพสหรัฐอเมริกาที่ใช้ไทยเป็นฐานทัพหลักเคยมีการจ้าง “หมอลำ” ให้แต่งเพลงเนื้อหาโจมตีฝ่ายสังคมนิยม ส่วนฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ก็ใช้ดนตรีหมอลำเช่นกันโจมตีฝ่ายทุนเสรีนิยม
ด้านนักวิชาการกฎหมาย ผศ.สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายท่าทีแข็งกร้าวของผู้มีอำนาจต่อเพลงประเทศกูมีว่า “เพราะศิลปะเข้าถึงคนได้ง่าย” เรื่องยากๆ ซับซ้อนที่นักวิชาการพยายามอธิบายแต่คนทั่วไปไม่เข้าใจหรือไม่สนใจ แต่ศิลปินสามารถทำให้เข้าใจได้ สามารถเรียกความสนใจได้เป็นวงกว้าง เห็นได้จากเพลงเพื่อชีวิตที่เคยได้รับความนิยมในยุคก่อนหน้า
สำหรับกรณีเพลงประเทศกูมีกับปฏิกิริยาของ “บิ๊กสีกากีบางท่าน” ที่ตอนแรกออกมาเตือนไม่ให้ส่งต่อเพราะหมิ่นเหม่จะผิดกฎหมาย แต่ต่อมาก็ต้องยอมถอยเพราะเมื่อดูข้อกฎหมายแล้ว “ไม่ครบองค์ประกอบความผิด” อาจารย์สาวตรี ยกตัวอย่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (2) ต้องมีองค์ประกอบครบ 2 ส่วนคือ “เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ” คำถามคือในเพลงดังกล่าวมีเนื้อหาส่วนไหนที่เป็นเท็จบ้าง? แม้จะมีถ้อยคำรุนแรงอันเสริมอรรถรสของเพลงก็ตาม
กับอีกส่วนคือ “น่าจะเกิดความเสียหาย” เรื่องนี้ต้อง “แยกให้ออกระหว่างประเทศกับรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ เพราะกฎหมายที่ออกมามีเจตนาคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไม่ใช่ต่อรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ”อีกทั้ง “กฎหมายไม่ได้ห้ามพูดความจริงในประเทศแม้จะเป็นเรื่องไม่ดีก็ตาม” และที่สำคัญคือการที่คนลุกขึ้นมาบ่นเรื่องไม่ดีในประเทศไม่ได้ทำให้ประเทศไม่ดี “ท่าทีของผู้เกี่ยวข้อง” ว่าจะทำอะไร “ระหว่างซุกปัญหาไว้หรือลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง” ต่างหากที่จะสะท้อนออกสู่สายตาชาวโลกว่าประเทศนั้นดีหรือไม่
ในทางกลับกัน “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ซึ่งเป็นเพลงประจำของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นเรื่องจริงหรือไม่? เช่น บอกว่าขอเวลาอีกไม่นานแต่ผ่านมาแล้ว 4 ปีกว่า ยังไม่มีเลือกตั้ง หรือบอกจะทำอย่างซื่อตรงแต่มีกรณีนาฬิกาหรูยืมเพื่อน หรือบอกว่าคืนความสุขแต่เสียงสะท้อนของประชาชนบอกคนในเศรษฐกิจฐานรากกำลังลำบาก อย่างไรก็ตาม ทั้งคืนความสุขฯ และประเทศกูมีต่างก็ยังไม่เข้าองค์ประกอบข้อทำให้ประเทศเสียหาย
นักวิชาการกฎหมายผู้นี้ ยังกล่าวถึงถ้อยคำ “ความมั่นคง - ความสงบเรียบร้อย - ศีลธรรมอันดี”ว่าคำเหล่านี้สามารถตีความได้กว้างขวางมากโดยดุลยพินิจของผู้ถืออำนาจ จนอาจทำให้เกิดการกลั่นแกล้งทางการเมืองได้ “หลักกฎหมายที่มีโทษทางอาญาคือต้องใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนตรงตัว” ว่าอะไรผิดหรือไม่ผิด เช่นใน เยอรมนี การปิดกั้นเว็บไซต์บนอินเตอร์เนตระบุเนื้อหาที่เข้าข่าย อาทิ ลัทธิชาตินิยมขวาจัด (นีโอนาซี) หรือสื่อลามกอนาจารเด็ก แต่ประเทศไทยอ้างว่าเขียนกฎหมายเผื่อปรับใช้กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ลงท้ายก็คือ “ประชาชนก็อยู่กันแบบไม่มั่นคง”ชีวิตจะผิดไม่ผิดก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ เพราะแม้แต่นักกฎหมายก็ยังงงๆ ว่าตกลงแล้ว..ความมั่นคงหรือศีลธรรมที่ว่านั้นของใคร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี