ใกล้จะปลดล็อกการเมืองเต็มทีแล้ว การปลดล็อกการเมืองก็เพื่อจะให้พรรคการเมืองดำเนินการทางการเมืองได้ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เป็นคนละเรื่องกับการปลดล็อกกัญชา ซึ่งกำลังบิดเบี้ยวกลายเป็นดับเบิ้ลล็อกที่จะทำให้ประชาชนใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ได้ แต่จะเป็นการผูกขาดให้กับต่างชาติเช่นเดียวกับการผูกขาดสุราและบุหรี่
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าบรรดาพวกตีนใหญ่ที่เอาตีนราน้ำอยู่เพื่อยกผลประโยชน์ของชาติและประชาชนให้กับต่างชาติและทุนชาตินั้นจะกล้ารับชะตากรรมที่จะถูกกล่าวหาว่าทรยศชาติ ขายชาติ และปล้นชาติหรือไม่ เพราะในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกตราหน้าเช่นนี้แล้วไม่เคยมีอนาคตที่ดีเลยแม้แต่รายเดียว
การปลดล็อกทางการเมืองยิ่งใกล้เข้ามา บรรยากาศเก่าๆ ก็เริ่มหวนกลับคืนมา เช่น การซื้อนักการเมืองที่เคยประพฤติกันเช่นเดียวกับการซื้อวัว ซื้อควายอย่างไรก็คงทำกันเช่นนั้นต่อไป ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของประชาชนที่เขาทำการต่อสู้ขับไล่รัฐบาลทรราชต่อเนื่องมาถึง 15 ปีแล้ว
พวกนักการเมืองที่ขายตัวขายตนให้เงินทองราวกับเป็นวัวเป็นควายที่เคยขายเนื้อขายตัวกันมาอย่างไร ก็คงจะประพฤติเช่นนั้นกันต่อไป
แม้ลีลาการโกหกหลอกลวงประชาชนเพื่อปกปิดการขายตัวของพวกตนให้กลายเป็นการเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชนที่เคยทำกันมาอย่างไรก็ยังคงทำเช่นนั้นต่อไป
การจับขั้วทางการเมืองเพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่คำนึงว่าใครจะมีอดีตที่เลวทรามต่ำช้าอย่างไร เคยด่าว่า ประณาม ประจานกันมาอย่างไร เคยถูกประชาชนเฉดหัวขับไล่มาอย่างไร ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะถือเอาว่าขอเพียงมีมือที่ยกเป็นคะแนนเสียงได้ และมีขีดความสามารถที่จะหลอกลวงประชาชนให้เลือกตั้งได้ก็เป็นพอ
ดังนั้นในวันนี้แม้ยังไม่ทันจะปลดล็อกการเมือง แต่เสียงม้าล่อฆ้องกลองทำนองน้ำเน่าก็กึกก้องกระหึ่ม จนบางครั้งการใช้อภิสิทธิ์อิทธิพลก็ได้กลายเป็นต้นแบบที่คลายล็อคให้กับพวกอื่นๆ เข้าลักษณะ “มึงทำได้ กูก็ทำได้” ซึ่งก่อให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อกันโดยทั่วไป
สภาพแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้อย่างไร ก็คงเป็นไปอย่างนั้นต่อไป กลายเป็นเรื่องลูบหน้าปะจมูก กลายเป็นเรื่องกฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเลือกที่รักมักที่ชัง
การปลดล็อกการเมืองยิ่งใกล้เข้ามา การเตรียมการรณรงค์หรือการหาเสียงล่วงหน้าด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ ที่เคยเป็นมาอย่างไรก็ยังเป็นไปอย่างนั้น โดยไม่คำนึงว่าประชาชนเขาจะรู้สึกเหม็นเบื่ออิดหนาระอาใจอย่างไร
ความจริงถ้ามีสติยั้งคิดกันสักหน่อยหนึ่งก็ต้องรู้และเข้าใจว่า นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ถึงวันนี้ประชาชนชาวไทยได้ผ่านการต่อสู้กับการเมืองชั่วช้าสารเลวมาอย่างโชกโชน ผ่านการชุมนุมใหญ่หลายครั้ง ผ่านเหตุการณ์ต่อสู้ที่วิกฤติ ที่มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากมาแล้ว
ผ่านการต่อสู้อันยาวนาน ในบางครั้งทั้งสามฤดูกาล คือมีการชุมนุมผ่านฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ไปจนเข้าฤดูร้อนใหม่ก็มีให้เห็นมาแล้ว
เป็นการชุมนุมกันท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด ที่ดังกึกก้องในใจกลางเมืองหลวงก็ต่อสู้กันมาแล้ว
ประชาชนไทยหลายล้านคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเพื่อจะเปลี่ยนแปลงสภาพที่เลวทรามต่ำช้า แม้จะเป็นจะตายหรือต้องเสียสละกันอย่างไร ประชาชนชาวไทยก็ได้ต่อสู้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วทั้งสิ้น
ดังนั้นใครที่คิดว่าคนไทยในวันนี้หมดไฟแล้ว ลืมความหลังครั้งแต่ก่อนแล้ว จะประพฤติชั่วช้าสารเลวอย่างไรก็ได้ ในที่สุดสักวันหนึ่งก็จะต้องเผชิญหน้ากับของจริง
ก็แลเมื่อประเทศไทยและคนไทยได้ผ่านวิกฤติมามากมายแล้ว หากจะเกิดวิกฤติหรือถึงแม้จะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองเล็กๆ หรือกว้างขวางสักหน่อย หากจำเป็นจะต้องเลือกและจำเป็นจะต้องทำเพื่ออนาคตใหม่ที่ศิวิไลซ์ดีกว่า ก็อย่าได้คิดว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้
เพราะคนไทยนั้นยามสงบก็อดออมยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมอดทนฝืนกล้ำฝืนกลืน แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่น้ำอดน้ำทนหมดลง และรู้เช่นเห็นชาติว่ามีการทรยศชาติ ปล้นชาติ และขายชาติแล้ว สักวันหนึ่งความอดทนก็จะหมดไป และเมื่อนั้นความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น นี่คือสัจธรรมของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แต่ทว่ายุคสมัยผ่านไปแล้ว การที่จะอาศัยตีนออกมาเดินบนถนนนั้นอาจจะล้าสมัยไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก และถ้าสังเกตให้ดีพฤติกรรมการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว
เป็นแต่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นในโลกใบกลม คือไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะลงไปเดินขบวนบนท้องถนนหรือจัดชุมนุมใหญ่ แต่เป็นการจัดชุมนุมในโลกใบเหลี่ยม คือในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในระบบของสมาร์ทโฟน ที่ประชาชนไทย 70 ล้านคน ถือครองอยู่จำนวน 100 ล้านเครื่อง
การชุมนุมทางการเมืองโดยผ่านระบบโซเชียลมีเดียได้ก่อตัวมา 5 ปีเต็มแล้ว และกำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง จนถึงวันนี้ก็ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกแล้วว่าการใช้โซเชียลมีเดียในทางการเมืองหรือในการรณรงค์เลือกตั้ง จะมีนัยยะสำคัญต่อชัยชนะและปราชัยในการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว
ไม่ว่าโดยการเลือกตั้งแบบพลิกล็อกของสหรัฐ หรือการเลือกตั้งที่นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นพลิกความคาดหมายของทั่วทั้งโลกมาแล้ว จนเป็นที่คาดหมายได้ว่าการเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งหน้าอานุภาพของการชุมนุมทางการเมืองหรือแนวรบสื่อโดยโซเชียลมีเดียอาจจะพลิกล็อกผลการเลือกตั้งชนิดถล่มทลายก็เป็นได้
ตัวอย่างเพลงประเทศกูมี ที่ได้นำเสนอสภาพที่เป็นไปในบ้านเมืองโดยใช้บทเพลงเป็นสื่อผ่านโซเชียลมีเดียนั้น เนื้อแท้ก็คือการชุมนุมทางการเมืองชนิดหนึ่งในโลกใบเหลี่ยมของสมาร์ทโฟน และต้องถือว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดที่มีผู้คนเข้าร่วมถึงกว่า 30 ล้านคน
และยังขยายผลไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย นี่คืออานุภาพและตัวอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มของแนวรบทางการเมืองของอานุภาพการชุมนุมทางการเมืองแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา และที่กำลังจะโหมรุนแรงยิ่งขึ้น ดุจดังคลื่นสึนามิตั้งแต่ช่วงปลดล็อกการเมืองเป็นต้นไป
นั่นหมายความว่าเมื่อมีการปลดล็อกทางการเมืองเมื่อใด การรณรงค์ทางการเมืองบนโลกใบกลมที่ต้องใช้คนไปเดิน ไปวิ่งเต้น ไปยกมือไหว้กระทั่งหมูหมา แม้ยังต้องทำอยู่ แต่ก็คงได้ผลน้อย สิ้นเปลืองมาก และยากลำบากมาก
ในขณะที่การรณรงค์ทางการเมืองในโลกใบเหลี่ยมผ่านทางสมาร์ทโฟน 100 ล้านเครื่อง ของประเทศไทยจะก่อเกิดอานุภาพใหญ่หลวง โดยเฉพาะต่อประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 30 ล้านคน
การรณรงค์เชิงบวกเพื่อแสวงหาความนิยมในรูปแบบต่างๆ ที่ก้าวหน้าทันสมัยและพลิกแพลงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะปรากฏให้เห็นและจะก่อเกิดเป็นคลื่นใหญ่ทางการเมือง ที่จะสร้างความตกตะลึงชนิดตาค้างให้แก่นักการเมืองเก่าๆ หรือการทำงานแบบเก่าๆ
ที่สำคัญคือ ในจำนวนประชากรที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง 30 ล้านคนนั้น ประกอบด้วยคนรุ่นใหม่และเครือข่ายประมาณ 10 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์แห่งชาติ คือ เครือข่ายผู้ป่วยโรคมะเร็ง เครือข่ายแพทย์แผนไทย เครือข่ายเภสัชกรรมไทย เครือข่ายเวชกรรมไทย รวมทั้งผู้มีน้ำใจเป็นธรรมที่เห็นอกเห็นใจ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่ต่อต้านยาฆ่าหญ้าเป็นพิษและสารพิษนานาชนิด เครือข่ายรณรงค์เรื่องปฏิรูปพลังงาน เครือข่ายแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ ทั้งหมดนี้มีจำนวนถึง 10 ล้านคน ส่วนคนวัยกลางคนและคนแก่จำนวนอีก 10 กว่าล้านคน ก็กระจัดกระจายกันไป
ในจำนวนสามกลุ่มนี้กลุ่มคนรุ่นใหม่จะเป็นพลังที่มีเอกภาพมากที่สุด ส่วนกลุ่มผลประโยชน์แห่งชาติขณะนี้มีพรรคการเมืองเพียงสามพรรคที่เป็นปากเป็นเสียงและแสดงจุดยืนเข้าด้วยช่วยกัน สองกลุ่มนี้เป็นจำนวนประชากรถึง 20 ล้าน ถ้าเป็นเอกภาพก็ชี้ขาดผลเลือกตั้งได้แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 10 ล้านคนโดยประมาณ ทุกพรรคการเมืองก็แบ่งกันไป
สถานการณ์ยามใกล้จะปลดล็อกทางการเมืองเป็นอย่างนี้!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี