คนที่ออกมาพูดว่า เรามีคนจนมากขึ้นทุกปีนั้น โกหกทั้งสิ้น ยืนยันว่าคนจนไม่ได้มากขึ้น ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ประกาศไว้เมื่อวันก่อน ในทำนองว่า ตัวเลขที่ขึ้นมาจากการลงทะเบียนคนจนที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะรัฐบาลให้ประโยชน์ คนจึงมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้น
แท้จริงแล้วคนจนในตอนนี้ไม่มีจริงหรือ? เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างรัฐบาลพูดจริงหรือ? เรามักได้ยินรัฐบาลประกาศว่าเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้น ล่าสุดรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจออกมาบอกว่า “หลังจากทศวรรษแห่งการสูญเสีย ประเทศไทยใช้เวลา 3-4 ปี นำความสงบและเสถียรภาพทางการเมืองกลับคืนมา จากที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ป่วยแห่งอาเซียน จีดีพีต่ำกว่า 1% ผ่านไป 3 ปี จีดีพีเพิ่มขึ้นมาเป็น 4.8%” นั่นเป็นการบอกว่าในการบริหารงานของรัฐบาลตนที่ผ่านมาทำให้เศรษฐกิจประเทศดีขึ้นจริงหรือ? คนจำนวนมากรู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างที่รัฐบาลประกาศหรือ?
ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะที่คนระดับบนยอดของสังคมกลับรู้สึกดีขึ้น?
หากดูตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มสูงขึ้น หรือตัวเลขบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่า 52% ในปี 2558-2560 ตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 4.5% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเป็น 3.2% ปริมาณการส่งออกและราคาสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นก็เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน คนที่อยู่ในกลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัทเหล่านี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศ เช่นนั้นแล้วตัวเลขเหล่านี้เอามาเป็นตัวชี้วัดว่าคนไทยทั้งประเทศกำลังมีสภาพทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้นได้จริงหรือ? เพราะหากไปดูภาระหนี้สินของเกษตรกรที่เพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับรายรับที่มีเท่าเดิมหรืออาจน้อยลงด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูไปที่รายได้ของคนไทยเฉลี่ยต่อหัวต่อเดือนในปี 2560 อยู่ที่ 26,937 บาท แต่กลับมีรายจ่ายเฉลี่ยมากถึง 21,897 บาทตัวเลขเหล่านี้ขัดแย้งกับข้อมูลความมั่งคั่งเฉลี่ยของทั้งประเทศที่รัฐบาลพยายามประกาศ
ในขณะที่ความเป็นจริงคือ คนไทยระดับบนรวยขึ้นคนไทยระดับล่างจนลง เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น ปัจจุบันสังคมไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างออกมากขึ้นทุกที
เอาเข้าจริงความแตกต่างทั้งเรื่องฐานะและรายได้นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ทางสังคมอื่นๆ อีกมากมาย ความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือระบบการศึกษา เด็กยากจนไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดี ทำให้ขาดโอกาส และในที่สุดก็ไม่สามารถหางานที่ดีพอเลี้ยงครอบครัวได้?แม้จะมีกฎหมายเรียนฟรี 12 ปี มานานแล้วแต่ก็ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่เพราะค่าเทอมยังไม่ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายทางการศึกษา โอกาสของโรงเรียนชานเมืองไม่เท่ากับโรงเรียนในเมือง โอกาสของเด็กต่างจังหวัดก็ไม่เท่าโอกาสที่ได้รับของเด็กกรุงเทพฯ อาจารย์ และทรัพยากรของมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดก็ไม่เท่ามหาลัยวิทยาลัยดัง 3-4 มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ นั่นเป็นเพราะระบบงบประมาณที่กระจุกอยู่กับมหาวิทยาลัยดังๆ ไม่กี่แห่ง จากสถิติโอกาสของเด็กในครอบครัวจนสุด 10% สามารถถีบตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เพียง 4.1% ในปี 2551 และ 10 ปี ต่อมาขยับเป็น 4.2% เพื่อหวังว่าองค์ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาจะสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้
นอกจากนี้ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสยังรวมถึงความสามารถที่จะเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ คนไทยกว่า 50 ล้านคน หรือคิดเป็น 75% ไม่มีที่ดินแม้ตารางวาเดียวที่ถือครองเป็นทรัพย์สิน แต่สำหรับกลุ่มคนรวยที่เป็นเพียง 0.1% หรือ 65,000 คน จากประชากรทั้งหมด 65 ล้านคน บางคนถือครองที่ดินเกือบ 7 แสนไร่
คนไทย 0.1% นี้ มีเงินฝากเท่ากับ 49% ของเงินฝากทั้งระบบ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่สถาบันระดับโลกประเมินว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากรัสเซียและอินเดีย เมื่อมีเงินมากก็ได้รับโอกาสมากเช่นกัน
โอกาสของคนรวยในประเทศไทยที่นอกจากเข้าถึงทรัพยากร ก็ยังเข้าถึงอำนาจรัฐได้ไม่ยาก อย่างเช่น การดำเนินนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่สุดท้ายกลุ่มทุนรายใหญ่และทุนต่างชาติก็คือผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ทั้งที่จริงแล้วควรจะเป็นชาวบ้านเจ้าของพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ที่ควรได้รับประโยชน์นี้จากการพัฒนา SMEs ภายในพื้นที่ สร้างรายได้จากการไหลเข้ามาของธุรกิจต่างๆ แต่กลับออกกฎหมายเอื้อประโยชน์งดเว้นเงื่อนไขให้กลับกลุ่มทุนภายนอกได้เข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพแวดล้อม ผังเมือง ถมทะเล ตัดภูเขา ตลอดจนมลพิษโดยไม่ต้องฟังเสียงกฎหมายปกติ สิทธิประโยชน์นี้คนในพื้นที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
อย่างไรก็ตามรัฐบาลปัจจุบันก็พยายามที่จะแสดงให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ละเลยปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยเคยเปิดหัวว่าจะแก้กฎหมายที่น่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ แต่สุดท้ายจะครบ 4 ปีก็ยังไม่สามารถผ่านออกมาได้ ขณะที่กฎหมายภาษีมรดกก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้จริง เพราะคนรวยมีเทคนิควิธีในการจัดการระดับสูง
ช่วงท้ายมานี้ หลังจากมีแรงกดดันจากสังคมทั้งจากการเอาเปรียบของธุรกิจขนาดใหญ่ต่อรายเล็ก และภาพลักษณ์ของนายทุนอุปโภคบริโภคที่มีความใกล้ชิดรัฐบาลนำมาซึ่งการกระตุ้นให้เกิด พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ.2560 ถึงแม้ว่าพ.ร.บ.จะมีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2542 แต่ก็ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์อะไร จึงแก้เก้อด้วยการมาออกกฎหมายใหม่บอกว่ามีการปรับปรุง และจัดตั้งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีความเป็นอิสระมากยิ่งขึ้นแต่เมื่อเข้าไปดูที่มาของคณะกรรมการจริงๆ พบว่า ก็ไม่พ้นอำนาจราชการเข้าไปควบคุมได้อยู่ดี จึงไม่แปลกที่ไม่สามารถตรวจสอบรายใหญ่ที่แนวโน้มที่จะผูกขาดตลาด และยากที่จะส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม
เนื้อหาพ.ร.บ.ก็ถูกวิจารณ์ว่า ยังมีช่องว่าง ที่สุดท้ายไม่สามารถนำไปสู่การดำเนินคดีกับรายใหญ่ที่ผูกขาดใช่หรือไม่ หากผู้ควบคุมกติกาการค้ายังคงเป็นราชการก็ยากที่จะส่งเสริมให้เกิดการค้าที่เป็นธรรม หรือควบคุมไม่ให้รายใหญ่กินรวบตลาดเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จนถึงขนาดร้านค้าสะดวกซื้อที่ขยายธุรกิจตนเองไปเรื่อยๆ จนมาขายกาแฟ ขายไข่ต้ม จนล่าสุดออกมาทำอาหารตามสั่งในร้านสะดวกซื้อ และเริ่มประกาศแนวคิดธุรกิจเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน จนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้กับ SMEs แล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์กลับมองไม่เห็นเลย เช่นนั้นหรือ?
ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สะสม ตลอด 4 ปี ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ และการคุมเศรษฐกิจภายใต้รองสมคิด ก็ยังไม่สำคัญเท่าปัญหาปากท้องของประชาชน ที่ถือเป็นปัจจัยหลักของประชาชนทุกวันนี้ที่รัฐบาลรู้ดี และรู้อยู่แก่ใจว่ารัฐบาลที่ล้มมาทุกยุคก็เพราะปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือนเหล่านี้ หากมองว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วรัฐบาลนี้จบ หมดภารกิจไปด้วยก็คงไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะ คำพูดรองฯสมคิด ในงานสัมมนาที่มีนักลงทุนฟังอยู่เป็นจำนวนมากที่บอกว่า “จะมีเลือกตั้งต้นปีหน้า อย่าวิตก แผนงานโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลวางไว้จะไม่สะดุด เพราะมีลางสังหรณ์ว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปอาจจะหน้าตาคล้ายๆคนเดิม” อะไรที่ทำให้มั่นใจขนาดนั้น? ยังคงไม่สำคัญเท่าคำถามว่า ประเทศจะเป็นอย่างไรหากท่านๆจะบริหารเศรษฐกิจต่อไปอีกสมัยด้วยทีมเศรษฐกิจชุดเดิม
“...การกล่าวความจริง มักทำร้ายจิตใจผู้คน...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี