ตอนสุดท้าย
มาตรา 178 วรรคสาม ความว่า “หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วมหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ”
ความในวรรคสองที่ว่าซับซ้อนต้องตีความมากแล้ว ความในวรรคสามยิ่งทำให้ยุ่งยากเข้าไปอีก คำว่า “หนังสือสัญญาที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง” สรุปแล้วยังแบ่งได้อีกหลายประเภท ได้แก่ หนังสือสัญญาที่เกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วมหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งทำให้การตีความหรือการนิยามศัพท์มีเพิ่มขึ้นมาจนไม่รู้จบ เป็นการตีความที่ซ้อนการตีความ ซึ่งบทบัญญัติในลักษณะนี้เคยมีในมาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่งใช้แล้วก็เกิดปัญหา และมีการพยายามแก้ไขความในมาตรานี้ถึงสองครั้ง คือเมื่อปี พ.ศ. 2553 และ พ.ศ. 2554 แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทั้งยังเป็นการเพิ่มปัญหามากขึ้นไปอีก
มาตรา 178 วรรคสี่ ความว่า “ให้มีกฎหมายกำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย” ในวรรคนี้มีการกำหนดให้มีการตรากฎหมายกำหนดวิธีการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ถามว่าประชาชนคือใคร ต้องออกกฎหมายใหม่ให้กำหนดวิธีการแสดงความคิดเห็นประชาชนจึงจะใช้ได้หรือ และวิธีการที่ให้แสดงความคิดเห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีแสดงความคิดเห็นทางอินเตอร์เนต ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ และยิ่งในปัจจุบันมีมาตรา 77 วรรคสอง1 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดว่าการจะออกกฎหมายต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนด้วย ทำให้ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
มาตรา 178 วรรคห้า ความว่า “เมื่อมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่ คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ” ความในวรรคนี้กำหนดให้เมื่อมีปัญหาข้อสงสัยว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่ คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ ซึ่งกฎหมายก็ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ส่งก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีความเข้าใจพอที่จะวินิจฉัยได้หรือไม่ หรือหากพิจารณากันไม้ได้ต้องทำอย่างไรก็ต้องนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
มาตรา 5 วรรคสอง2 ที่ว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาใช้ ก็หมายความว่าที่แล้วมาปฏิบัติมาอย่างไรก็ให้ปฏิบัติดังนั้น ก็ยุ่งยากอีก เพราะที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยกรณีทำนองเดียวกันนี้เพียงแค่กรณีเดียว ว่าการทำหนังสือสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่ มีกรณีเดียวเช่นนี้จะอ้างได้หรือไม่ว่าเป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะดูอย่างไรว่าเป็นประเพณีการปกครองแล้ว ประเพณีนี้คือการที่ปฏิบัติ 2-3 ครั้งก็เป็นแล้วหรือไม่ แล้วคำว่าประเพณีต่างกับคำว่าจารีตประเพณีหรือไม่ Custom กับ Tradition ต่างกันหรือไม่
ในเรื่องการวินิจฉัยของศาลนี้มีปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวพันอยู่ด้วย เพราะระบบกฎหมายของประเทศไทยไม่ได้รับเอากฎหมายระหว่างประเทศมาเป็น Law of the land คือเมื่อทำสัญญาตามหนังสือสัญญากันแล้วเสร็จตัวสัญญาเป็นกฎหมายของประเทศได้ทันที แต่ระบบกฎหมายของประเทศไทยจะต้องนำหนังสือสัญญานั้นมาแปลเป็นภาษาไทย และต้องตราพระราชบัญญัติมารองรับด้วย ซึ่งในมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน3 กำหนดไว้ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด กฎหมายอื่นจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะใช้บังคับมิได้ หากหนังสือสัญญาที่ไปทำกับต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศเกิดขัดกับรัฐธรรมนูญขึ้นมาก็ใช้บังคับมิได้ แต่ทำสัญญาผูกพันกันมาแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งหากเป็นกรณีของประเทศฝรั่งเศส หากมีการไปทำสัญญากับประเทศอื่นแล้วเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญก็เลือกที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา แต่ในประเทศอื่นจะถือว่ารัฐธรรมนูญสำคัญที่สุด ก็จะขึ้นอยู่กับแนวทางของแต่ละประเทศว่าจะดำเนินการในเรื่องแบบนี้กันอย่างไร
ที่กล่าวถึงปัญหาความไม่ชัดเจนของบทบัญญัติในมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาทั้งหมดนั้น เพียงต้องการจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการบัญญัติกฎหมายที่จะต้องมีการตีความ การตีความจะทำให้การใช้กฎหมายเกิดความยุ่งยากเพราะไม่มีความชัดเจน ยิ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศด้วยแล้ว หากยังมีถ้อยคำที่ไม่ชัดเจนอยู่ในรัฐธรรมนูญ ก็อาจทำให้การใช้การตีความกฎหมายทั้งระบบเกิดปัญหาได้ มาตรา 178
อีกสิ่งหนึ่งที่ขอกล่าวไว้ในที่นี้คือ การที่กฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญของบ้านเราที่ยังมีปัญหาการใช้การตีความอยู่นี้ก็เพราะว่ารัฐธรรมนูญของประเทศไทยทุกฉบับมาจากการปฏิวัติ รัฐธรรมนูญทุกฉบับเป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นและดัดแปลงบทบัญญัติมาจากฉบับเก่าๆ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อธิบายความหมายก็ไม่ได้ ในเวลานี้ใครสามารถอธิบายได้บ้างมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ ที่ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียวจะแบ่งแย่งไม่ได้ หมายความว่าอย่างไรกันแน่อย่างแท้จริง ซึ่งก็มักจะอธิบายกันแบบ “ไทยๆ” กันต่อไป
จุดมุ่งหมายของบทความนี้ ก็เพียงเพื่อยกตัวอย่างปัญหาความไม่ชัดเจนของกฎหมายที่จำเป็นต้องมีการตีความของบทบัญญัติในระดับรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญในระบบกฎหมายของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อให้นักกฎหมาย อาจารย์ในคณะนิติศาสตร์ ผู้ใช้กฎหมายทั้งหลาย รวมทั้งนิสิตนักศึกษากฎหมายได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และนำไปสู่การช่วยกันหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
++++++++
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 77 วรรคสอง “ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับรัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชนและนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป”
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 วรรคสอง “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้”
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อรุณ ภานุพงศ์
หมายเหตุ ดูบทความนี้ที่ครบถ้วนได้ในหนังสืออาจาริยบูชา
80 ปี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต หน้า 127
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี