ในขณะที่รัฐบาลชุดล่าสุดต้องพยายามหาเงินเข้าคลังหลวงให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถมีเงินใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายสาธารณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปกติและนโยบายด้านประชานิยม (ที่ล่าสุดเปลี่ยนชื่อเป็นนโยบายประชารัฐ) และเพื่อช่วยให้รัฐบาลได้รับคะแนนนิยมให้มากที่สุดจากประชาชน เพื่อให้ประชาชนมอบความไว้วางใจให้รัฐบาลบริหารประเทศได้ต่อไป
หลายคนที่ติดตามสถานการณ์การเมืองและสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยมาอย่างต่อเนื่องคงพอจะรู้ว่าภาคการเมืองของไทยใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อนโยบายสารพัดชนิด เมื่อต้องใช้จ่ายเงินมาก ก็ต้องหาเงินให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่าย คำถามคือจะหาเงินมาจากไหน เพราะการส่งออกของไทยก็ไม่ดี การบริโภคภายในของคนไทยด้วยกันเองก็ยังต่ำ อัตราเงินออมของคนไทยก็ต่ำมาก เมื่อรัฐบาลประสบปัญหาเช่นนี้ หนทางเอาตัวรอดอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้เงินทองมาบริหารประเทศก็จึงพุ่งตรงไปที่รายได้จากการท่องเที่ยว สำหรับตัวเลขรายได้ของไทยที่เกิดมาจากการท่องเที่ยวในปี 2560 คือ 2.8 ล้านล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของปี 2561 จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3 ล้านล้านบาท
เมื่อรัฐบาลคาดหมายตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวไว้เช่นนั้น จึงจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องทำทุกหนทางเพื่อเชิญชวนและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวและใช้จ่ายเงินตราในประเทศไทยให้มากขึ้น รวมถึงยังต้องสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้นด้วย มิใช่ดีแต่เรียกร้องให้ต่างชาติมาเที่ยวไทย แต่ทว่าคนไทยกลับติดปีกโบยบินไปเที่ยวต่างประเทศกันอย่างครึกโครม ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นเป้าหมายสำคัญเบื้องต้นซึ่งรัฐบาลไทยให้ความหวังว่าจะสามารถทำความฝันเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศให้เป็นจริงก็คือนักท่องเที่ยวชาวจีน เพราะชาวจีนอยู่ไม่ไกลจากไทยมากนัก สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยได้สะดวก จีนมีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน ดังนั้นขอแค่เพียง 100 ล้านคน ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวไทย ก็จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับไทยอย่างเป็นกอบเป็นกำ
เมื่อปักหมุดเช่นนี้แล้ว รัฐบาลไทยโดยรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จึงขอความร่วมมือกับแจ๊ค หม่า หรือหม่า หยุน ประธานบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา โดยหวังให้อาลีบาบาช่วยฟื้นความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยวจีนให้เดินทางเข้ามาเที่ยวไทยให้มากขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังออกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ สนามบิน หรือ Visa on Arrival เป็นเวลาสองเดือน (สิ้นสุดในปลายเดือนธันวาคม 2561) ให้นักท่องเที่ยว 21 ประเทศ โดยมาตรการนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน
เหลือเวลาอีกแค่เพียงเดือนเศษๆ เท่านั้นก็จะหมดปี 2561 ซึ่งเวลาที่เหลือนี้ก็ถูกจับตามองโดยสาธารณชนว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มอีกกี่ล้านคน และจะสร้างรายได้ให้ประเทศอีกกี่หมื่นกี่แสนล้านบาท หลายคนพยายามเอาใจช่วยรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แต่ก็มีเสียงฝากเตือนพร้อมตั้งคำถามมาพร้อม ๆ กันว่า ขอให้ระมัดระวังการเพิ่มยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้จงหนัก เพราะการมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากๆ แต่คุณภาพต่ำ ไม่ก่อประโยชน์ให้กับบ้านเมืองของเราและมีคำถามว่ารัฐบาลไทยเคยพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวของไทยบ้างหรือไม่ เพราะนักท่องเที่ยวคุณภาพไม่สนใจแหล่งท่องเที่ยวที่เสื่อมโทรม หมดยุคแล้วกับการนับหัวนักท่องเที่ยวโดยไม่ได้คำนึงถึงรายได้โดยแท้จริง การมีนักท่องเที่ยวไร้คุณภาพก็เท่ากับเอาขยะสิ่งปฏิกูลเข้ามาสุมไว้ในบ้านเมืองของเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี