สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำสาระสำคัญจากข้อเขียนว่าด้วย “อนาถบิณฑิกเศรษฐีไทย กับการลดความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งราษฎรอาวุโส นพ.ประเวศ วะสี เขียนขึ้นเพื่อร่วมไว้อาลัย วิชัย ศรีวัฒนประภา แห่งคิง เพาเวอร์ และสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อค่ำวันที่ 27 ต.ค. 2561 ตามเวลาท้องถิ่น ณ เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งปรากฏภาพที่ทั้งเศร้าโศกและซาบซึ้งไปพร้อมกันคือชาวเมืองเลสเตอร์ต่างออกมาแสดงความอาลัยแด่คุณวิชัย ในฐานะที่มีบทบาทช่วยพัฒนาเมืองของพวกเขาอย่างมาก
ที่มาที่ไปของข้อเขียนนี้ คุณหมอเริ่มต้นว่า “ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่นำโดยสหรัฐอเมริกา กำลังเกิดความเหลื่อมล้ำสุดๆ ส่วนประเทศไทยได้ชื่อว่ามีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นที่ 2 หรือที่ 3 ในโลก” ซึ่งความเหลื่อมล้ำหากมีมากเกินไปย่อมนำไปสู่ปัญหาสังคมนานัปการ เช่น อัตราตายในทารก อายุขัย การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปัญหาสุขภาพจิต ยาเสพติด อาชญากรรม ความรุนแรง แต่การพัฒนาแบบเดิมๆ ที่ผ่านมานอกจากจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้แล้วยังยิ่งซ้ำเติมให้รุนแรงขึ้นอีกต่างหาก
คุณหมอประเวศอธิบายคำว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” ชื่อนี้ติดมาในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรเป็นจำนวนมากที่เริ่มต้นว่า “สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถีณ เชตวัน อันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และสมญานามอนาถบิณฑิกะก็มาจากการที่ชอบสงเคราะห์คนอนาถาไร้ที่พึ่ง” อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงเป็นมงคลนาม ขณะเดียวกันโลกยุคปัจจุบันคนมีความรู้ความสามารถไปอยู่ในภาคธุรกิจอาจจะมากกว่าภาครัฐหรือภาควิชาการเสียด้วยซ้ำไป จึงควรดึงภาคธุรกิจเข้ามาช่วยสังคมให้มากขึ้น ดังนี้
“กลุ่มบริษัทส่งเสริมการพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง” คุณหมอประเวศเล่าว่าเคยพูดคุยกับ เอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม คุณเอ็นนูเปรยว่า จากรายงานของนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) ประเทศไทยมีมหาเศรษฐีที่มีเงินเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.3 หมื่นล้านบาทขึ้นไป อยู่ 28 คน “ถ้าคิด 28 กลุ่มบริษัท ต่อ 76 จังหวัด ก็เท่ากับ 1 กลุ่มบริษัทต่อ 3 จังหวัด” อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเศรษฐีที่มีเงินน้อยกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้เช่นกัน
โดยภาคธุรกิจนั้นมีจุดแข็งคือ “สัมฤทธิศาสตร์”หมายถึงมีความยืดหยุ่นคล่องตัวในการเลือกหนทางเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่ง “เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของหน่วยงานภาครัฐเสมอมา” เพราะความเป็นทางการเน้นกฎหมาย กฎระเบียบ และการควบคุม แม้ภาครัฐจะมีทรัพยากรมหาศาลก็ตาม ภาคธุรกิจจึงมีศักยภาพสูงในการเข้ามาช่วยเหลือชุมชนตั้งแต่หมู่บ้านขึ้นมาถึงระดับจังหวัด
คุณหมอประเวศกล่าวต่อไปว่า “หากกวาดสายตาดูไปให้ทั่วประเทศไทย จะพบว่ามีชุมชนที่มีความคิดริเริ่มดีๆ ปรากฏอยู่มากมาย” ทั้งเรื่องเกษตรพึ่งตนเอง เรื่องวิสาหกิจชุมชน เรื่องการจัดการ
ท่องเที่ยวชุมชน การจัดการขยะ พลังงานชุมชน ธนาคารความดี การจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น การดูแลผู้สูงอายุในชุมชน การมีสถาบันการเงินของชุมชน ฯลฯ
มีตัวอย่างสถาบันการเงินของชุมชนระดับตำบลที่จัดการได้ดี มีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท(ใน 1 ตำบล) สถาบันการเงินของชุมชนระดับตำบลเป็นเครื่องมือของประชาชนในการออม การลงทุนการฝึกอบรม การอาชีพ และสวัสดิการสังคม สถาบันการเงินของชุมชนเช่นนี้ ควรมีในทุกตำบลทั่วประเทศ “ภาคธุรกิจสามารถเข้ามาช่วยเรื่องการต่อยอด” เพราะมีความชำนาญอยู่แล้ว ทั้งนี้คุณหมอประเวศยังเล่าถึงเรื่องราวที่เคยพุดคุยกับมิตรสหายในประเด็นคนร่ำรวยกับการช่วยเหลือสังคมเมื่อนานมาแล้วว่า
“หลายสิบปีมาแล้วผมเคยปรารภกับเพื่อนชาวอินเดียชื่อแบเนอจี ซึ่งเป็นนักวิชาการสายมาร์กซิสม์ (Marxism = หลักคิดที่ไปในทางสังคมนิยม) ถึงความคิดเรื่องบทบาทของภาคธุรกิจกับการพัฒนา แบเนอจีตอบผมว่า..ดอกเตอร์ประเวศ You can never train tiger to be vegetarian ! คุณไม่สามารถฝึกเสือให้เป็นมังสวิรัติได้หรอก..แต่ผมไม่เคยเชื่อแบบแบเนอจี เพราะผมไม่เชื่อว่าอะไรมีธรรมชาติที่ตายตัว”
ไม่เพียงแต่ภาคธุรกิจเท่านั้น คุณหมอประเวศ ยังอยากชวนให้ “ภาควิชาการ” เข้ามาทำงานเพื่อสังคมให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเพียงสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทยก็มีกว่าร้อยแห่งแล้ว ยังไม่ต้องนับสถาบันการศึกษาในระดับอื่นๆ แต่น่าเสียดาย “ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่เน้นการท่องไม่ใช่การทำ” ดังนั้นหากเปลี่ยนจากท่องเป็นทำได้จะเกิดการพัฒนาทั้งเศรษฐกิจและสังคมไปทั่วอย่างมาก แต่เรื่องนี้ก็ต้องอาศัยภาคธุรกิจ เพราะภาคธุรกิจชำนาญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง
คุณหมอประเวศยังเสนอแนะด้วยว่า หากคิงเพาเวอร์ซึ่งก็เป็น 1 ในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยริเริ่มก่อนสักจังหวัดหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงคุณวิชัยที่เป็นผู้ก่อตั้ง เชื่อว่าจะสามารถ “จุดประกาย” ให้ภาคธุรกิจอื่นๆ ทุกระดับทำตามกันมาจบครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และย้ำว่า “เชื่อในหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่ก้าวข้ามการแบ่งแยกทั้งปวง” ไม่ว่าชาติ ศาสนา มุมมองทางการเมือง หน้าที่การงานฐานะชนชั้น ฯลฯ ดังนั้นแนวคิดอนาถบิณฑิกเศรษฐีกับการลดความเหลื่อมล้ำจึงมีความเป็นไปได้ ดังที่คุณหมอยกตัวอย่างว่า
“กรณีทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงที่เชียงราย คนทั้งมวลล้วนมีหัวใจของความเป็นมนุษย์ ไม่คิดเชิงปฏิปักษ์ รวมใจก้าวข้ามการแบ่งแยกทุกประเภท ไม่มีซ้ายขวา เหลืองแดง กรมกอง ทางการหรือไม่เป็นทางการ คนมุสลิมเป็นหมื่นๆ คนสวดอ้อนวอนให้ทีมหมูป่ารอดชีวิต ทั้งหมดนี้คืออาริยพละซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ซึ่งจะผุดบังเกิดออกมาในสถานการณ์บางอย่าง นั้นคือเพื่อนมนุษย์ 13 คน อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แท้ที่จริงเราทั้งหมดเหมือนติดอยู่ในถ้ำแต่เราไม่รู้ ถ้ารู้อาริยพละก็จะผุดบังเกิดขึ้นเต็มประเทศ เป็นพลังที่เราทั้งหมดจะออกจากถ้ำไปด้วยกันได้”
ในตอนท้ายของบทความ คุณหมอประเวศสรุปว่า หากสังคมก้าวไปถึงขั้นคนทุกคนมีหัวใจของความเป็นมนุษย์อันเป็น “การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน(Transformation)” ย่อมสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างสังคมสันติสุข ที่มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล ระหว่างคนกับคน และระหว่างคนกับธรรมชาติแวดล้อมได้
อันเป็น “สังคมศรีอาริยะ” นั่นเอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี