ชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ สำหรับอนาคตการเมืองไทย ที่ใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งเต็มที
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงไทม์ไลน์ทางการเมืองไทย ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ไปจนถึงเดือนมกราคม 2562 โดยประเด็นที่น่าสนใจ คือ
• วันอังคารที่ 11 ธ.ค. พ.ร.ป.เลือกตั้งสส.เริ่มบังคับใช้ (ต้องจัดการเลือกตั้งให้เสร็จใน 150 วัน (9 พ.ค. 2562) และในระหว่างวันที่ 16-27 ธ.ค. กกต.จะประกาศใช้พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งสส.และปลดล็อกคำสั่งคสช.
• ส่วนปฏิทินงานในเดือนมกราคม 2562 ที่น่าสนใจคือ วันที่ 2 ม.ค. กกต.ส่งรายชื่อผู้เข้ารอบ สว. 200 คน ให้คสช.ไปคัดเลือกเหลือ 50 คน บวก สำรอง 50 คน
• ภายใน 5 วัน นับจากประกาศใช้พ.ร.ฎ.กกต.ออกประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง/วันรับสมัคร/จำนวน สส.ในแต่ละเขต
• ไม่เกิน 25 วัน นับจากประกาศใช้พ.ร.ฎ.รับสมัครสส.โดยให้เวลา 5 วัน และพรรคการเมืองต้องแจ้งชื่อนายกฯให้กกต.ประกาศ
• วันอาทิตย์ที่ 24 ก.พ. 2562 เลือกตั้งสส.ทั่วประเทศ 350+150 = 500 คน
• วันที่ 24 เม.ย. 2562 กกต.ประกาศผลการเลือกตั้ง (ภายใน 60 วัน นับจากเลือกตั้ง)
• วันที่ 27 เม.ย. 2562 คสช.พิจารณา สว. 50 คน + 194 คนเสร็จและนำขึ้นถวาย 50+194+6=250 คน โปรดเกล้าตั้งสว. 250 คน
ส่วนในเดือนพฤษภาคม โดย 1 วันก่อนเสด็จฯทรงเปิดสภาฯ สนช.สิ้นสุดลง สำหรับการเลือกนายกฯ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกฯ ตั้งครม. และครม.ใหม่ ถวายสัตย์ปฏิญาณ รัฐบาลเก่าและคสช.สิ้นสุด จะเกิดขึ้นหลังวันที่ 8 พ.ค. 2562
นี่คือกำหนดการที่ยึดเอาข้อบังคับของรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ในกรณีที่ทุกอย่างราบรื่น เรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เข้ามาแทรกซ้อน
เช่นนี้แล้ว พรรคการเมืองทั้งหลาย ย่อมมีภารกิจสำคัญๆ ให้เร่งทำดังต่อไปนี้ คือ
ก) ชูโรงว่าใครคือ “ผู้นำ” หรือคนสำคัญของพรรค บ้างวางตำแหน่งคนสำคัญให้เป็นหัวหน้าพรรค บ้างวางไว้ในตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์ บ้างก็ออกโรงในบท “โค้ช” แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละพรรค แต่มีความจำเป็นที่ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าใครคือ “ผู้นำที่แท้จริง” หมดเวลาของ “นอมินี” แล้วครับ และประชาชนต้อง “ใส่ใจ” ได้แล้วครับ ว่าแต่ละพรรค ใครคือตัวจริงกันแน่ การวางตัวจริงตัวปลอม หลอกไปหลอกมา ประชาชนควรคิดได้ว่า อย่าไปสนับสนุน เพราะหากเรื่องแค่นี้ มันยังตรงไปตรงมาไม่ได้ เรื่องอื่นๆ หลังจากนี้ ไม่รู้ว่ามันจะ “คด” ได้สักเพียงใด
ข) เตรียมหารายชื่อคนที่พรรคจะเสนอให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” กันได้แล้ว เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องส่งชื่อ/รายชื่อถึง กกต. บางพรรคอาจส่งแค่ชื่อเดียว บางพรรคอาจส่ง 2 ชื่อ หรือครบ 3 ชื่อ ตามที่เปิดโอกาสให้ส่งก็ได้ แต่คนที่มีชื่อนั้น ต้องรับรู้และยินยอม 1 ชื่อ จะอยู่ในบัญชีของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น ไม่เสนอซ้ำซ้อนกัน
ค) หาสมาชิกให้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด ทั้งสมาชิกยอดรวมของพรรค และสมาชิกในแต่ละเขตพื้นที่ เพื่อได้สิทธิในการส่งคนลงสมัครเป็น สส. ในเขตพื้นที่นั้นๆ
ง) เตรียมร่างนโยบายและพร้อมที่จะสื่อสารกับประชาชนทันทีที่ คสช. ปลดล็อก ให้หาเสียงได้
ทีนี้ เรามาดูเป็นรายพรรคกันบ้าง
1) พรรคประชาธิปัตย์ การตัดสินใจเปิดให้สมาชิกพรรคหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์แสดงตนได้ชัดเจนขึ้น ทำงานได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งหากยึดเอาตามผลการหยั่งเสียง ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งประกาศจะรักษาอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดำรงความเป็นสถาบันทางการเมืองมา 72 ปี อย่างแน่วแน่ ให้จับตาดู “ความเปลี่ยนแปลง” ให้ดีๆ เพราะนายอภิสิทธิ์ประกาศไว้ทุกที่ว่า “ผมอายุ 54 ปีแล้ว หมดเวลาจะต้องเกรงใจใคร” ยิ่งครั้งนี้ได้คะแนนจากสมาชิกพรรคเป็นคนลงให้ ก็สามารถผละจากบุญคุณ บารมี ความอาวุโส หรือความเกรงใจอื่นๆ ที่ค้ำคอมานานได้แล้ว การเปิดให้สมาชิกเป็นคนเลือก คือการปลดปล่อยอภิสิทธิ์ออกจากพันธนาการเดิมๆ แถมเป็นแรงหนุนให้เขาเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ต้องกังวลไป ต่อให้เป็นตัวของตัวเองสักแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ก็ไม่เคยผละจาก “จุดยืน” และ “อุดมการณ์” แบบประชาธิปัตย์ หลักการต้องมาก่อน แล้วนโยบาย วิสัยทัศน์ หรือการกระทำ จะแตกหน่อต่อยอดออกมาจากหลักการนั้นๆ
เพียงแต่ต้องติดตามว่า ความที่แข่งขันกันอย่างจริงจังมากๆ นั้น วุฒิภาวะทางประชาธิปไตย ที่ควรจะเป็นแบบอย่างให้แก่พรรคอื่นๆ ตลอดจนการเลือกตั้งระดับชาติที่จะมาถึง จะเป็นตัวอย่างได้ดีเพียงใด เช่น หาเสียงไม่สาดโคลน ไม่ปลุกระดม สร้างความเกลียดชัง ยอมรับผลการเลือกตั้ง พร้อมที่จะทำงานด้วยกันต่อไป ยามแข่ง แข่งจริง เมื่อแข่งจบ ทั้งหมดคือทีมเดียวกัน ทีมประชาธิปัตย์ ไปแข่งต่อในลีกใหญ่ คือการเลือกตั้ง ความพร้อมเพรียง และการเคารพหัวหน้าพรรค จึงเป็นตัวชี้วัดอะไรบางอย่าง ที่ต้องติดตามกันต่อไป
2.พรรคพลังประชารัฐ ยังคงถูกมองว่า เป็นพรรคของรัฐบาลปัจจุบัน ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อนำไปสู่ความชอบธรรมที่จะดัน “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง ซึ่งหากจะทำให้สง่างามได้นั้น ควรต้องเอาชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มาใส่ในบัญชีรายชื่อคนที่พรรคจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีเสียตั้งแต่ต้น ถือว่าลงแข่งสนามเดียวกันแล้ว การที่เรื่องนี้
จะกลายเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มอื่นเอาไปเป็นข้อแม้ ตีรวน ป่วน ก็จะทุเลาลง หมดความชอบธรรมที่จะอ้าง นั่นรวมถึงรัฐมนตรี 4 ท่าน ที่มีชื่อเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็สมควรต้องลาออก เมื่อถึง
กาลอันควร ยิ่งยื้อยิ่งไม่เป็นผลดี
3.พรรคเพื่อไทย
มีกระแสข่าวว่าแตกคอกัน ไม่ยอมรับกัน และรอคำยืนยันจากดูไบ ทำให้พรรคเพื่อไทยสิ้นความเป็นตัวของตัวเอง ยังคงอาศัยภาพจำ ภาพเก่า ที่บ้างก็บอกดี บ้างก็บอกว่าเลว คือ ขายทักษิณกิน เอาความรักในตัวทักษิณของคนมาเป็นจุดขาย แม้ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย จะออกโรงปฏิเสธ ว่าข่าวลือพวกนั้นไม่เป็นจริง แต่ดูอย่างไรก็จริง คือ เกิดความแตกร้าวไม่มากก็น้อย
นั่นทำให้เกิดพรรค “ไทยรักษาชาติ” และพรรคเพื่ออื่นๆ สารพัดอย่างออกมาเป็นทิวแถว ตามยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย”
ก็เลยเกิดกระแสในทำนอง “ไม่เลือกเราเขามาแน่” ขึ้นอีกรอบ ขายความ “เอา-ไม่เอา ทักษิณ” ขึ้นมาอีกระลอก
10 กว่าปีแล้ว ที่การเมืองไทยวนอยู่กับเรื่อง “เชียร์ทักษิณ-ต้านทักษิณ” ทักษิณในที่นี้ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร
กลัวอะไรกับทักษิณกันหรือ?
สมัยทักษิณอยู่ในอำนาจนี่ น่ากลัวนะ เพราะกระแสนิยมในตัวเขามีอยู่ระดับหนึ่ง บวกกับการไปเอาพรรคเล็กพรรคน้อยมาควบรวมด้วย ทำให้มีอำนาจล้นสภา ชนิดที่ว่า ฝ่ายค้านทำอะไรไม่ได้เลย
ในเวลาที่ฝ่ายค้าน หมดอำนาจที่จะไปดุลและคาน องค์กรตรวจสอบอื่นๆ ก็ทำงานแปลกๆ จนเป็นประเด็นในทำนองว่า เกิดการ “แทรก” และ “ซื้อ” ได้ ทั้งองค์กรอิสระ สื่อมวลชน และแม้แต่ปรากฏการณ์ “นับเสียงแบบแปลกๆ” ในคดีซุกหุ้น กับกรณี “ถุงขนมหล่นที่ศาล” แต่ในถุงนั้นมีเงินสดเป็นฟ่อนๆ ด้วย
ทั้งหมดมันบอกกับเราว่า อำนาจรัฐ + อำนาจเงิน ทักษิณปกครองประเทศได้ โดยที่บางครั้งไม่ต้องแยแสสนใจกติกา เช่น ไม่มาตอบกระทู้ถามสด แต่งตั้งโยกย้าย เอาระบบเครือญาติและพรรคพวกเป็นใหญ่ ใช้มติคณะรัฐมนตรี สร้างประโยชน์ให้กิจการของตน และคนใกล้ชิด
ตัวอย่างที่ “ตลก” ที่สุด ก็คือ การมีมติคณะรัฐมนตรีให้วันที่ 31 ธันวาคม ไม่เป็นวันหยุดราชการ ซึ่งคนสันนิษฐานว่า เพื่อเปิดช่องให้ภริยาไปดำเนินการโอนที่ดินรัชดาที่ประมูลได้ ก่อนที่
ขึ้นปีใหม่ ระบบการจัดเก็บภาษีจะเปลี่ยนแปลง คือเรียกเก็บสูงขึ้น นั่นยังรวมการใช้มติคณะรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงแก้ไขการจัดโซนนิ่งและผังเมือง ให้พื้นที่แถบที่ดินรัชดา สามารถสร้างอาคารสูงได้ จากเดิมก่อนหน้าการประมูลที่ดิน มันทำไม่ได้ ที่ดินก็ราคาถีบตัวสูงปรี๊ดในทันใด อันนี้ถามว่าดีหรือชั่ว?
ยังไม่นับรวมข้อกล่าวหาเรื่องการแปลงวิธีจัดเก็บผลประโยชน์จากสัมปทานมือถือ ดาวเทียม และการปล่อยกู้ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่เงินย้อนกลับมาซื้อบริการกิจการของครอบครัว “ชินวัตร” อีก
ช่วงเวลาที่ทักษิณเรืองอำนาจ ระบอบประชาธิปไตยถูกสั่นคลอน การตรวจสอบถูกทำลาย และ “ค่านิยม” ของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไป มีคำว่า “โกงแล้วแบ่ง ก็ไม่เป็นไร เพราะใครๆ ก็โกง”ไม่มีคนแยแสกับการโกงที่ต้องจับได้ไล่ทัน และเอาตัวมันมาลงโทษอีกแล้ว ใครโกงแล้วแบ่ง เรารับได้ สังคมจึงบิดเบี้ยวไปหมด
แม้เมื่อทักษิณหนีคุกหนีตะรางไปอยู่ต่างประเทศ บริวารและวงศ์วานว่านเครือก็ยังได้รับการสนับสนุน ให้กลับเข้ามามีอำนาจ เราจึงมีรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ต้องจบไป เพราะนายสมัครทำผิดรัฐธรรมนูญ ไปรับเงินค่าจ้างทำรายการของเอกชน ส่วนนายสมชาย มีอันเป็นไปเพราะเป็นกรรมการบริหารพรรค ยุคที่รองหัวหน้าพรรค คือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช กระทำ
ผิดกฎหมายการเลือกตั้ง จนพรรคถูกยุบ
มาพี้คสุดๆ เมื่อทักษิณส่งน้องสาว ที่ไม่ต้องเป็นหัวหน้าพรรค สู่สนามการเมืองพร้อมคณะดูแลเด็กเล็กรอบตัว จนได้เป็น “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย” ที่ผ่านวิกฤติ
น้ำท่วมมาได้ จนมาออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้คนเสื้อแดง ทหาร สื่อมวลชน ประชาชน ที่ตาย จากผลการชุมนุมทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มีกองกำลังติดอาวุธเข้าผสมโรง ตายฟรี!!ตายแล้วตายไป ไม่ต้องมีคดี ไม่ต้องได้รับความเป็นธรรม คดีไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากเข้าไปแล้วให้ชักออกมาจนสร้างแรงต้านและมวลชน กปปส. ขึ้นมา ก่อนจะตกม้าตายด้วยคดีจำนำข้าว ที่ต่อสู้กันยาวนาน จนสุดท้ายศาลสั่งจำคุกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่เธอก็หนีออกนอกประเทศไปได้ ในยุคทหารปกครอง(เก่งมาก) และทักษิณก็ออกมาประกาศก้องว่า “น้องสาวผมจะติดคุกไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว” ขณะที่บุญทรง เตริยาภิรมย์ ติดคุกได้ และเจ็บป่วย เฉียดพิการอยู่ในตอนนี้
ผมว่าเราควร “ถอดรหัส” ให้ดีๆ ว่าบัดนี้ คะแนนนิยมของทักษิณยังเหลืออยู่จริงไหม เมื่อเขาได้ฉาย “ธาตุแท้” ออกมา จนคนเห็นแล้วว่า สันดานตัวรอดของเขา น่ารังเกียจเพียงใด
บวกกับทักษิณ เสื่อมอำนาจลงไปเรื่อยๆ เช่น อำนาจเงิน ที่ตอนหลังๆ ข่าวว่าไม่ค่อยจ่าย โครงการทั้งหลายที่เขาทำ และคนเคยชอบ เริ่มแสดงโทษ และเห็นกลโกงที่เขา “ได้มากกว่าให้”
วันนี้ เราต้องกลัวทักษิณ หรือกลัวจิตใจคนไทย ที่อยากได้ ต้องการระบบอุปถัมภ์ แม้จะรู้ว่าเงินที่เขาแบ่งให้ มาจากการปล้นชาติก็ตาม!! อันนี้ต้องคิดกันให้ดีๆ
4) พรรคอนาคตใหม่ ความที่หลอมรวมเอานักประชาธิปไตยร้อยพ่อพันแม่ขึ้นมารวมกัน โดยอาศัย “อารมณ์ร่วม” คือ ไม่เอาทหาร ไม่เอารัฐประหาร เป็นแกนหลัก นับวัน นักประชาธิปไตยพูดมาก เขียนเก่งพวกนี้ ก็เริ่มกระทบกระทั่งกันเอง แม้จะมีสื่อที่แม่ถือหุ้นช่วยหนุนหลัง แต่ก็ไม่อาจยั้งเฟซบุ๊คของ“คนอนาคตใหม่” หลายคน ที่ช่างติ ช่างด่า ชักเขียน แล้วลากเรื่องต่างๆ มาให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องปวดหัวและซวยไปด้วย เป็นพรรคที่ไม่มีรากลึกครับ เป็นรากฝอย กำเนิดบนความชิงชัง ซึ่งข้อดีคือ มีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน แต่ลูกค้าเหล่านี้ บางทีก็ฉาบฉวย รักง่าย หน่ายไวยิ่งมาด่า “แคปเฌอ” ด้วยแล้วยิ่งสะท้อนความไม่มีวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย นั่นรวมไปถึง เพจจับผิด อย่างเพจ “วันนี้ธนาธร fail อะไร” หรือเพจ “เสเพล” ก็เล่นบท “ปอกเปลือกธนาธร” รายวัน
5) พรรคชาติไทยพัฒนา ตอนแรกฟอร์มดี นึกว่าลูกท็อป- วราวุธ ศิลปอาชา จะได้เป็นหัวหน้า แต่สุดท้ายกลายเป็นเจ่เจ้ หนูนา-กัญจนา ศิลปอาชา แทน” ทำเอามิตรสหายวัยหนุ่มของลูกท็อป โบกมืออำลา หลังผู้เฒ่าในพรรค รวมตัวกันดันเจ่เจ้ขึ้นมา แทนที่วราวุธ ก็เริ่มจะวงแตกแล้วละครับ
6) พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคนี้ต้องทำงานหนัก เพราะภาพของ “ลุงกำนัน” หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มันกลบกระแสอื่นๆ ตลอดจนบทบาทของคนอื่นๆ ไปหมด มีอะไรก็ต้องฟังจากปากสุเทพ ฟังจากคนอื่น ก็ไม่อาจแน่ใจได้ คุณสุเทพบอกว่าจะเป็นแค่โค้ช แต่ก็อย่างที่เห็น โค้ชวิ่งทั่วสนาม นักกีฬาอยู่ไหน ภาพคุณสุเทพมันจึงกลบลบคนอื่นหายไปเกือบทั้งหมด
เอาแต่พอสังเขปเพียงเท่านี้ก่อน
แค่อยากให้ทุกคนเห็นว่า แต่ละพรรคก็มีปัญหาของตัวเอง ขณะนี้ไม่มีพรรคไหนไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเกี่ยวเรื่อง “คน”
ส่วนประชาชน รอเป็นคนเลือกนะครับ และในการเลือก นอกจากดูพื้นเพกมลสันดานแล้ว ดูความรู้ความสามารถ ความมีวิสัยทัศน์ การยืนหยัดรักษาคำพูด ที่ตรงกับการกระทำ ประกอบกับดูทีม ดูนโยบายเอาไว้
มันจะช่วยให้เราเป็น ผู้เลือก” ที่ดีได้ เลือกด้วยความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองของเรา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี