1. ประการที่สำคัญ คือ “วิธีคิดแบบเดิมๆ ความคิดอคติ การคิดอวิชชา ที่มิได้ใช้สติปัญญา ความจริง”
ข้อนี้คือกับดักทางปัญญา ที่ชนชั้นนำ นักเลือกตั้ง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิ ที่ติดกรอบความคิด“รัฐประหารคือเผด็จการ-การเลือกตั้งคือ ประชาธิปไตย”
นักคิดนักต่อสู้บางส่วนที่เป็นโรดไร้เดียงสา เอียงซ้ายป่ายขวา หรือ แนวคิด การต่อต้านทุกฝ่าย โดยไม่มีหลักการ หรือการยึดกุมเป้าหมาย ว่า : “ใครคือ ผู้เป็นปัจจัยหลัก ที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน” ทำให้ขาดพลังในการร่วมมือสามัคคีไปเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริง
เหตุ เกิดจากการขาดการสรุปประเมินผล ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ของไทย ( และของโลก)
2.เราพอสรุปในส่วนหลักๆที่เกี่ยวข้องกับการมองปัญหาและการแก้ไขปัญหา คือ
1) ประเทศที่พัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยได้จริง หรือนำมาใช้ประโยชน์แก่ประชาชนได้
ผู้นำและประชาชนของเขา ได้ดำเนินการ แก้ปัจจัยที่เป็นตัวปัญหา ที่ขัดขวาง การนำไปสู่ประชาธิปไตย คือ
-สร้างระบบและโครงสร้างของสังคม ให้เป็นประชาธิปไตย ไม่มีการเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม เพื่อให้คนส่วนใหญ่ ไม่เสียประโยชน์ สามารถตรวจสอบควบคุม นักการเมือง พรรคการเมือง ฯลฯ ได้
-การพัฒนาคุณภาพของประชาชน ให้คิดเป็นทำเป็น เป็นอิสรชน ที่สามารถศึกษาหาความรู้ด้วยสติ ปัญญา ความจริง
มีสิทธิหน้าที่ มีความรับผิดชอบ ต่อตัวเอง คนอื่น ส่วนรวม ประเทศชาติ ที่สำคัญ คือ ต้องมีการวางกฎกติกาของบ้านเมือง
และสังคม ให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดอนาคตของตนเองได้ ให้ประชาชนเป็นเจ้าของบ้านเมือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยต้องกำหนดลงในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายที่มาของ สส. สว. ฯลฯ
ประเด็นใหญ่ทางการเมือง พรรคการเมือง รัฐบาล รัฐสภา ไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส. สว. ฯลฯ ไม่ได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่มีการลงโทษ
ต้องกำหนด มิให้นายทุนใหญ่ หรือนายทุนสามานย์ และสื่อขนาดใหญ่ ในการสนับสนุนหรือแทรกแซงทางการเมือง หรือผ่านพรรคการเมือง ในเรื่องที่ผิดกฎหมาย ฯลฯ
แต่ที่สำคัญยิ่ง สำหรับประเทศไทย ที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ “ความคิดปฏิเสธ บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์” และการบิดเบือนข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาบัน ที่มีการะดำเนินการเป็นระบบ โดยการลงทุนมหาศาลจัดจ้าง “กลุ่มคนไม่น้อย” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สร้างข้อมูลใหม่ ที่ผิดฯ และมีการเผยแพร่ จนคนไม่น้อย ที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริง เกิดความเข้าใจผิด ฯลฯ
2) ข้ออ่อนของกลุ่มคนที่รักและมีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง แต่มีความคิดซ้ายหรือเสรีนิยมที่สุดโต่ง ที่คิดเฉพาะส่วน คับแคบ ปฏิเสธกองทัพ ข้าราชการรัฐบาลในทุกเรื่อง(ที่ไม่สอดคล้องกับความคิดตนเอง)
การแก้ปัญหา ต้องมีระยะผ่าน และการเปรียบเทียบ ความตั้งใจจริงและผลงานของรัฐบาลคสช.กับรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา, แล้วส่งเสริมสนับสนุนในส่วนที่ดี และวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์
ในส่วนที่เป็นข้ออ่อน รวมทั้งการเข้าร่วมลงคิดลงแรงกับกลุ่มของตน ช่วยเป็นอีกแรงหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องที่เราท่าน ที่รักชาติห่วงบ้านเมืองต้องคิดกันอย่างจริงจัง
l กล่าวสรุป กว้างๆว่า การเลือกตั้งของไทยเรา ในช่วงต้นและกลางๆ จนก่อนจะมาถึง ปี 2544 ยังอยู่ในภาวะแข่งขันกันได้ ผลัดกันเป็นรัฐบาล แต่หลังจากนั้น พลิกผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
มีการพัฒนาไปในทิศทางที่เป็นเชิงลบ ที่เอื้ออำนวยให้ประโยชน์สูงสุด ต่อ ใคร ???
1) บุคคลอาชีพต่างๆ ที่ได้เป็นผู้แทน สส. สว. เดิม เป็น ครู นักกฎหมาย นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ ข้าราชการฯ
หรือผู้มีอุดมการณ์ มีความคิดในเชิงสังคมนิยม และเสรีนิยม แต่ปัจจุบัน จะเป็นนักธุรกิจใหญ่ และกลุ่มนักเลือกตั้งเก่าและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
2) การใช้จ่ายเงิน เดิมเป็นหลักแสนต้นๆ ถึงล้าน ปัจจุบันหลายสิบล้าน พรรคใหญ่ต้องใช้หลายร้อยล้าน
(ธนาธร พรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ สุทธิชัย หยุ่น ช่วงเดือนกันยา 2561 ว่า เขาเตรียมการไว้ว่า ต้องใช้ 350 ล้านบาท
ซึ่งถือว่า ต่ำที่สุด สำหรับ พรรคการเมืองที่จะได้สส.มาก และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ )
3) บทบาทของสื่อ กลุ่มทุนใหญ่ ข้าราชการ ตำรวจ ฯลฯ เดิม จะไม่ค่อยเข้ามาแทรกแซง แต่ปัจจุบันหนักมาก
4) พรรคการเมือง ซึ่งเป็นกลไกเดียวที่เข้าสู่อำนาจรัฐ มีกลุ่มทุนใหญ่และทุนสามานย์ เข้ามาแทรกและกำหนด
เพราะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ลงทุนหลายพันหลายหมื่นล้าน แต่ได้เงินถอนกลับมาเป็นแสนๆ ล้าน
รวมทั้งการลงทุน “จัดตั้งสื่อ นสพ. ทีวี ฯลฯ” หรือ ลงทุนในหุ้นสื่อใหญ่ สื่อดัง มีการใช้กลไกรัฐ จากการแทรกแซงหน่วยงานราชการ ตำรวจ อัยการ และกระบวนการยุติธรรมฯ ในช่วงเป็นรัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) หรือ รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ)โดยพุ่งเป้า ไปที่ “ข้าราชการฯ” ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ฯลฯ
ฉะนั้น การเลือกตั้งในระบบปัจจุบัน ยังเป็นการเลือกตั้งที่เหลื่อมล้ำ
พรรคเก่า พรรคใหญ่ พรรคมีเงินทุนมาก ได้เปรียบ พรรคเล็กๆ หรือ พรรคที่มีหลักการ มีอุดมการณ์ ฯลฯ
l ในขณะที่ ผู้นำรัฐบาล หรือผู้นำสังคมที่ดี ยังขาด “บุคคลที่เป็นรัฐบุรุษ มีวิสัยทัศน์กล้างไกล กล้าตัดสินใจ
ดำเนินการอย่างจริงจัง ถอนรากถอนโคน ระบบการเมืองที่เลวร้าย ระบบการเลือกตั้งที่ยังไม่สุจริตเที่ยงธรรมได้
l ผู้นำรัฐบาลที่ดี ทำได้แต่เพียง การปฏิรูปบางด้านบางประเด็น ยังไม่สามารถทำให้ได้ครบถ้วนรอบด้าน เพราะ
ด้านหนึ่ง สภาวะวิกฤติของบ้านเมือง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และกระบวนการยุติธรรม
เสื่อมทรุดถอยหลัง จากปัญหาวิกฤติ ที่ถูกสะสมกันมายาวนาน จาก นักเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุนสามานย์
“รัฐบาลคสช.” ก็ยังมิได้ทรงพลัง มีอำนาจเด็ดขาด ยังมีหลายขั้วอำนาจที่ทรงอิทธิอยู่ในสังคมไทย ฯลฯ
นอกจากนี้ “อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจบางประเทศ หรือบางประเทศในอาเซียน ที่มีผลประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ จากการที่ประเทศไทยอยู่ในสภาพนี้ ยังไม่พัฒนาหรือปฏิรูป
ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
อีกด้านหนึ่ง มีสถาบัน หน่วยงาน กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่ยังทรงอำนาจและมีบทบาทอยู่ไม่น้อย ดังที่กล่าวมา
และประการที่สำคัญ ที่เป็นพื้นฐาน คือ ความไม่พร้อมของประชาชน ที่ขาดคุณภาพ ตกอยู่ในระบบอุปถัมภ์ ขาดการคิดเป็นทำเป็น
ไม่อิสระ ต้องคอยหวังพึ่งหรือพึ่งพาระบบและโครงสร้างเก่า ฯลฯ
l ฉะนั้น เราผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่แท้จริง จะต้องพิจารณาสภาพความเป็นจริงเฉพาะหน้า คือ
1) ยอมรับสภาพความเป็นจริง ว่าต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานพอสมควร
2) การพิจารณาเชิงเปรียบเทียบ ระหว่าง รัฐบาลปัจจุบัน และรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ในด้านของผลงานของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ทั้งในข้อดีและข้อเสีย ต่อประชาชนและประเทศชาติ
เราก็จะได้ความเป็นจริงว่า “รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ดีกว่า ชุดเก่ามาก”
l ลูกรัก : อาจจะหนักไปสำหรับลูก แต่เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น เพราะ “ลูกเป็นลูกของพ่อ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี