ระหว่างรอกระบวนการปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะนำร่างกฎหมายเข้า ครม. สัปดาห์นี้ ก่อนจะเสนอกลับไปที่ สนช. แล้ว สนช.ก็จะพิจารณาผ่านเป็นกฎหมายสำเร็จภายในเดือนธันวาคม เพื่อว่าต้นปีหน้า จะพร้อมสำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายในบ้านเรา
ตามที่ สนช.สมชาย แสวงการ บอกว่า “คาดว่ารมต.สาธารณสุขจะเร่งดำเนินการนำเข้าขอความเห็นชอบจากครม.ให้เห็นชอบในวันอังคารถัดไป (สัปดาห์นี้) เพื่อเร่งนำกลับเข้าวิปสนช. เพื่อบรรจุระเบียบวาระรับหลักการวาระ 1และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญในวันพฤหัสที่ 15 หรือศุกร์ที่ 16 พ.ย. เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ในชั้นกรรมาธิการและเพื่อให้แล้วเสร็จผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระ 2-3 ต่อไป โดยคาดหมายว่าน่าจะช่วยกันพิจารณาโดยเร็วอย่างรอบคอบ และเพื่อสามารถนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย และคนไทยทั้งประเทศ ได้ในราวต้นปีใหม่ 2562 ครับ”
ระหว่างนี้ ยังมีประเด็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมอีกมากมาย
ทั้งเรื่องในเชิงผลประโยชน์การพาณิชย์ การรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกัญชา รวมถึงมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม โดยไม่ทำลายเจตนารมณ์ที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่มีสารจากกัญชาเป็นส่วนประกอบได้อย่างไม่ลำบากลำบน ฯลฯ
1. กรณีข่าวว่า บริษัทเอกชนต่างชาติยื่นจดสิทธิบัตรสารสกัดกัญชา จะผูกขาดการใช้สารสกัดจากกัญชาในประเทศไทย?
ล่าสุด นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันชัดเจนว่า ยังไม่มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรตามที่ปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นกระบวนการตรวจสอบการประดิษฐ์ ซึ่งมีเงื่อนไขทางกฎหมายมาครอบคลุมหลายประการ ปัจจุบัน คำขอสิทธิบัตรยังอยู่ในกระบวนการ ดังนั้น เมื่อมีผู้มายื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องรับเรื่องไว้ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ประกาศโฆษณา ซึ่งยังมีกระบวนการตรวจสอบต่อไปอีก จึงอยากสร้างความชัดเจนว่า ถ้าเป็นสารสกัดกัญชา ตามกฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 9 (1) ระบุว่า จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืช เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ. หรือไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ดังนั้น สารสกัดกัญชาถือเป็นสารสกัดจากพืช จึงไม่ได้รับการคุ้มครอง
“ยื่นได้ แต่จดไม่ได้ ถ้าเป็นสารสกัดกัญชา เพราะขัดมาตรา 9 (1) วรรคหนึ่ง กม.ลิขสิทธิ์ และกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่สามารถปฏิเสธการรับคำร้อง แต่เมื่อรับคำร้องแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับสิทธิบัตร เพราะยังมีกระบวนการอีกยาวนาน แต่ตามหลักการ หากมีการยื่นคำร้องของสารสกัดกัญชา ต่อให้ขั้นตอนจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถึงเวลาคำร้องจะตกไปเองภายใน 5 ปี ถ้าเป็นสารสกัดกัญชา ส่วนมีกี่บริษัทที่ยื่นขอในครั้งนี้ ไม่ขอลงรายละเอียด แต่ยื่นขอจดตั้งแต่ปี 2553” นายสนธิรัตน์ยืนยัน
2.กัญชาไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ต้องใช้อย่างรู้เท่าทัน
ขณะนี้ ฝ่ายที่สนับสนุนกัญชาบางกลุ่ม พยายามโหมกระพือข้อดีของกัญชาจนราวกับเป็นยาเทวดาที่ไม่มีข้อจำกัด หรือไม่มีมีผลกระทบอะไรเลย ซึ่งเป็นข้อมูลที่สุดโต่ง มีวัตถุประสงค์ต้องการจะผลักดันการปลดล็อกกัญชา
ข้อเท็จจริง คือ กัญชามีข้อดีจริงๆ และการปลดล็อกจะเกิดประโยชน์จริงๆ โดยจะต้องทำให้ประชาชนผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาที่ผลิตจากกัญชาได้จริงๆ แต่ก็ต้องมีการกำกับดูแลมิให้ด้านร้ายของกัญชาบ่อนทำลายสังคมไปด้วย
ฝ่ายที่นำเสนอข้อมูลในแง่ด้านร้ายของกัญชาก็มีไม่น้อย อาทิ ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอข้อคิดข้อเขียนในเฟซบุ๊ค Thira Woratanarat หลายตอน มีเนื้อหาที่น่าสนใจ อาทิ
2.1 กัญชา... ประตูไปสู่การเสพติดยาชนิดอื่น?
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ระบุว่า จากการสำรวจระดับชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ในปี 2015 พบว่า
- มีโอกาสถึงร้อยละ 44.7 ที่คนเสพกัญชาจะไปเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุใดของเขา
- ณ ปีที่ 2 หลังจากเริ่มเสพกัญชา จะมีโอกาสเริ่มยาเสพติดชนิดอื่นถึงเกือบร้อยละ 10
- หลังจากปีที่ 10 พบว่าคนเสพกัญชา มีการเริ่มยาเสพติดชนิดอื่นไปแล้วถึงร้อยละ 36
2.2 บทเรียนจากต่างประเทศ เรื่องผลกระทบจากการใช้กัญชาทางการแพทย์ และใช้กัญชาอิสระ?
ผศ.นพ.ธีระ ระบุว่า ผลกระทบจากการประกาศใช้ทางการแพทย์ในอเมริกานั้น มีการนำเสนออยู่ในงานวิจัยหลายชิ้น อาทิ งานของ Maxwell JC และคณะ ตีพิมพ์งานวิจัยในปี 2016 โดยทำการศึกษาที่ซีแอตเทิลและเดนเวอร์ พบว่า
(1) ความตระหนักถึงความเสี่ยงและอันตรายของกัญชาลดลงอย่างชัดเจนในหมู่เด็กและเยาวชน
(2) อัตราการใช้เพิ่มขึ้นมากในกลุ่มผู้ใหญ่
(3) อัตราการตรวจพบการเสพกัญชาในคนขับขี่ยานพาหนะสูงขึ้นมาก
(4) อัตราการเข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉิน และรักษาตัวในโรงพยาบาลในเดนเวอร์ จากปัญหาการใช้กัญชาสูงขึ้นมาก
(5) อัตราการโทรปรึกษาศูนย์พิษวิทยา เกี่ยวกับปัญหาผลข้างเคียง/อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้กัญชาสูงขึ้นมาก
(6) อัตราการจับกุมคดียาเสพติดลดลง เพราะกัญชาถูกทำให้ถูกกฎหมาย ทั้งใช้แบบเสรี และแบบการแพทย์โดยลักลอบหรือแอบอ้างใช้หรือแกล้งป่วยเพื่อขอใช้
(7) สถิติในซีแอตเทิลคล้ายคลึงกับเดนเวอร์ และมีรายงานจำนวนการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นและบ่อยครั้งขึ้นมากในปีถัดๆ มา เริ่มมีคนสนใจที่จะศึกษาผลกระทบต่อพฤติกรรมการเสพยาเสพติดในประชากรกลุ่มต่างๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด หลังจากนโยบายกัญชา ยกตัวอย่าง เช่น
งานวิจัยของ Terry-McElrath YM และคณะ เพิ่งตีพิมพ์ในปี 2018 นี้ โดยชี้ให้เห็นว่า จากการติดตามกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานในอเมริกา พบว่ามีสัดส่วนของการกินเหล้าร่วมกับการเสพกัญชาเพิ่มขึ้นมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้พบว่าคนอายุตั้งแต่ 19-22 ปี ที่กินเหล้านั้น มีถึง 1 ใน 3 ที่ยอมรับว่าเสพกัญชาด้วย ในขณะที่อายุ 23-30 ปี จะมีราว 1 ใน 4 ที่เสพกัญชาด้วย ผลการติดตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเสพดังกล่าวจึงบ่งชี้ให้สังคมได้เห็นว่า การผลักดันกฎหมายกัญชาที่ทำไปในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการเสพสิ่งเสพติดของทั้งเด็กและวัยทำงาน
2.3 การปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในการแพทย์ : ผลกระทบที่เกิดในอเมริกา?
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ระบุว่า งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ปีนี้ (2018) ใน Neuropsychopharmacology Reviews (1) ซึ่งอยู่ในเครือวารสารวิชาการระดับโลกอย่าง Nature ตีพิมพ์ผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายการเปิดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเปรียบเทียบตั้งแต่ปีค.ศ.2005-2011
จำนวนของการโทรแจ้งขอความช่วยเหลือไปยังศูนย์พิษวิทยาเนื่องจากเด็กที่แอบเสพกัญชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 ในรัฐที่ประกาศปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ในช่วงปี 2005-2011 และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ในรัฐที่ประกาศปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ก่อนปี 2005 ทั้งนี้ เด็กที่เสพกัญชาในเหล่ารัฐที่ประกาศนโยบายไปนานกว่า (ก่อนปี 2005) จะมีอุบัติการณ์ของการเกิดผลข้างเคียงจากกัญชาที่รุนแรงกว่า และจำเป็นต้องนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแลรักษามากกว่ารัฐที่เพิ่งประกาศนโยบายไป
ในเวลาต่อมา มีการศึกษาในช่วงปี 2009-2015 พบว่า รัฐโคโลราโด ซึ่งประกาศให้ใช้ทั้งทางการแพทย์ และเสพโดยเสรีนั้น มีอัตราการโทรแจ้งศูนย์พิษเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34 ในแต่ละปี โดยมากกว่ารัฐอื่นๆ ที่ไม่ได้ประกาศให้ใช้เสรี โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 19 ต่อปี
ส่วนผลกระทบในผู้ใหญ่นั้น มีหลายการศึกษาที่เจาะลึกเรื่องนี้ โดยพบว่า หลังประกาศนโยบายปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ มีอัตราการโดนจับกุมเพราะครอบครองกัญชาโดยผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15-20 และมีอัตราของผู้ใหญ่ที่มีอาการเสพติดกัญชาครั้งแรกจนต้องนำส่งรับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ทั้งนี้ผลการศึกษามีลักษณะแนวโน้มตรงกันแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ข้อสังเกตที่สำคัญ คือ ต่างประเทศที่ใช้กัญชาเยอะๆ มักมีปัญหาเรื่องยาเสพติดอื่นๆ รุนแรง เช่น แอลกอฮอล์ ฝิ่น เฮโรอีน หรือยาแก้ปวดประเภทอนุพันธุ์ของฝิ่นอย่างมอร์ฟีน เป็นต้น โดยเคยมีการพยายามนำเสนอว่า ประกาศปลดล็อกกัญชาแล้ว จะทำให้ประชาชนเสพติดยาเสพติดอื่นๆ ลดลง แต่สุดท้ายแล้วมีการศึกษาอย่างถี่ถ้วน พบว่า การเข้าถึงกัญชา มิได้ทำให้เสพยาเสพติดอื่นๆ ลดลง แต่จะเป็นประตูนำไปสู่การเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆ ได้ โดยมีโอกาสถึงร้อยละ 44.7 ที่คนเสพกัญชาจะเสพติดยาเสพติดชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของชีวิต
3. ข้างต้นนั้น คือ ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เราไม่ควรละเลย และไม่ควรมองว่าการหามาตรการรับมือกับผลกระทบนั้นเป็นเพียงข้ออ้างของอะไรก็ตามแต่ เพราะผลกระทบนั้น มันมีอยู่จริง และกัญชาก็ไม่ใช่ยาเทวดาที่ไร้ข้อบกพร่อง
สำคัญที่สุด คือ กัญชามีข้อดีจริงๆ และการปลดล็อกจะเกิดประโยชน์จริงๆ โดยจะต้องทำให้ประชาชนผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาที่ผลิตจากกัญชาได้จริงๆ แต่ก็ต้องมีการกำกับดูแลมิให้ด้านร้ายของกัญชาบ่อนทำลายสังคมไปด้วย
แน่นอนว่า นโยบายกัญชาต้องรอบคอบ แต่มิใช่โอ้เอ้ จนไม่กล้าตัดสินใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี