หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ ขสมก.หยุดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริการ เนื่องจากบริษัท สยามสแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ยื่นฟ้ององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่ามติบอร์ด ขสมก.เรื่องการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 489 คัน วงเงิน 4,261 ล้านบาท ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ ขสมก.ต้องชะลอการตรวจรับรถโดยสารลอตที่เหลือจำนวน 389 คัน ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.2561
ล่าสุด ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบแล้ว
1. นายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ขสมก.จะเร่งรับรถเมล์ใหม่ได้ตามเงื่อนไขสัญญา
โดยคาดว่าภายในเดือน ธ.ค.นี้จะสามารถรับรถเมล์เอ็นจีวีได้ประมาณ 202 คัน จะแบ่งรับเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกจำนวน 100 คันภายใน 30 วัน และอีก 102 คัน จะรับมอบหลังจากนั้น 15 วัน
ที่เหลืออีก 187 คัน จะนัดกำหนดส่งมอบภายในเดือน ก.พ.2562
ส่วนการจ่ายเงิน ก็จะเริ่มทยอยจ่ายให้กับบริษัทเอกชนได้ก่อน ก็คือการชำระค่ารถ 100 คันแรกที่รับมอบมาตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. 2561 จำนวน 300 ล้านบาท พร้อมกับค่าซ่อมบำรุงรักษา
รวมระยะเวลา 7 เดือน ที่สัญญาชะลอการซื้อขาย เป็นเงินจำนวน 18 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือจะชำระเงินตามกระบวนการภายใน 30 วัน หลังการรับรถแต่ละลอตต่อไป
2. นายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ยังระบุด้วยว่า เมื่อศาลปกครองกลางได้เพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องของบริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากผู้ฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายแล้วนั้น ขสมก.จะพิจารณาฟ้องบริษัทเอกชนดังกล่าวด้วย เพราะทำให้ส่งผลให้ ขสมก. เสียหาย ทำให้การรับรถเมล์ล่าช้าออกไป ไม่มีรถใหม่มาให้บริการประชาชน ทำให้องค์กรสูญเสียรายได้
ทั้งนี้ ขสมก.ไม่สามารถรับมอบรถใหม่จำนวน 389 คัน เป็นเวลา 7 เดือน ซึ่งตามปกติรถเมล์ 1 คัน จะทำรายได้ให้ 7,000 บาทต่อวัน เท่ากับว่า ที่ผ่านมา ขสมก. ต้องสูญเสียรายได้ไป 571 ล้านบาท
ขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมาย ขสมก. ตรวจสอบรายละเอียดว่า จะสามารถฟ้องกลับบริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ฐานทำให้องค์กรได้รับความเสียหายได้หรือไม่
3. คำพิพากษาของศาลปกครอง มีผลผูกพันคู่ความ ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
สำหรับคดีนี้ นอกจากประเด็นว่า ผู้ฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายแล้วนั้น น่าสนใจว่า ศาลปกครองได้ชี้ข้อเท็จจริงในประเด็นอื่นๆ อย่างไรบ้างหรือไม่? ควรที่ทุกฝ่ายจะได้ศึกษาต่อไป
4. น่าสนใจว่า ประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ ที่มีการตรวจพบก่อนหน้านี้ นอกจากประเด็นว่าเอกชนผู้ฟ้องรายนั้นไม่ใช่ผู้เสียหาย ปรากฏว่ามีเงื่อนปมที่สำคัญอยู่หลายเรื่อง
การประมูลรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ของ ขสมก. ครั้งนี้ ทำสัญญากับกลุ่มร่วมทำงาน บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นการประมูลครั้งที่ 8
ผู้ชนะการประมูล เสนอราคาสูงกว่าราคากลางตอนแรกถึง 240 ล้านบาท
แถมช่วงที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งก่อนคำพิพากษาออกมาแล้ว ขสมก.ไม่สามารถรับมอบรถเมล์ที่เหลือได้แล้ว จนกว่าจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเป็นอื่น ปรากฏว่าผู้บริหาร ขสมก.บางคนยังเดินทางไปดูงานการผลิตเกียร์รถเมล์ที่ใช้ติดตั้งในรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 17-19 เมษายน 2561
นอกจากนี้ น่าคิดว่า บอร์ด ขสมก. ชุดที่ดำเนินการเรื่องนี้ ทยอยลาออกไปหลายคนก่อนหน้านี้ (ก่อนจะมีการแต่งตั้งกลับมาบางคน)
การประชุม บอร์ด ขสมก. ที่อ้างว่าบอร์ดมีมติอนุมัติให้ทำสัญญานั้น มีข้อท้วงติงว่า ไม่มีการลงมติให้เข้าทำสัญญา แถมยังมีบอร์ดหลายท่านตั้งคำถามหลายประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการประมูล ทั้งการกำหนดเวลากระชั้นจนไม่มีรายอื่นเสนอราคาแข่งขัน รวมไปถึงราคาที่ตกลงกับเอกชนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร? ซึ่งยังไม่มีคำตอบในการประชุมครั้งนั้น อีกทั้ง การประชุมอีกครั้งที่อ้างว่ารับรองรายงานการประชุมดังกล่าว ก็พบว่า มีบอร์ดเข้าประชุมแค่ 6 ราย ในจำนวนนี้ 3 ราย มีมติไม่เห็นชอบ น่าสนใจว่าข้อเท็จจริงเป็นประการใดกันแน่
การทำสัญญาครั้งนี้ มูลค่า 4 พันล้านบาทเศษ
เกินกว่า 100 ล้านบาท
เพราะฉะนั้น ขสมก.จะต้องได้รับความเห็นชอบจากบอร์ด จึงจะทำสัญญากับเอกชนได้
แถมเป็นการเซ็นสัญญากับกลุ่มเอกชน ในราคาที่สูงกว่าระดับราคากลางที่ประกาศออกมาตอนแรกเสียด้วย
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เคยตั้งข้อสังเกตที่ยังไม่มีคำตอบว่า ทำไมการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ จึงเชิญบริษัทให้เข้าร่วมประมูลโดยให้เวลาสั้นมากในการเตรียมเอกสาร
ทำไมจึงต้องเชิญบริษัทถึง 2 ครั้ง ทั้งๆ ที่ การเชิญครั้งแรกก็มีจำนวนบริษัทครบตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 แล้ว
จากการที่มีเวลาเตรียมเอกสารสั้นมาก ทำให้มีบริษัทยื่นประมูลแค่ 2 บริษัทเท่านั้น ประกอบด้วย ช ทวี ซึ่งได้รับเชิญในครั้งที่ 1 และสแกนอินเตอร์ซึ่งได้รับเชิญในครั้งที่ 2 แต่บริษัททั้งสองจับมือกันตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงาน เสมือนเป็นบริษัทเดียว อะไรทำให้ ช ทวีต้องยอมจับมือกับสแกนอินเตอร์ ทั้งๆ ที่หาก ช.ทวีไม่ยอมจับมือก็สามารถชนะได้อยู่แล้ว อีกทั้ง จะเสนอราคาได้ถูกกว่าด้วย เพราะ ช ทวี เคยเสนอราคา 3,800 ล้านบาท เมื่อปี พ.ศ.2558 มาแล้ว แต่พอมาร่วมกับสแกนอินเตอร์กลับเสนอราคาสูงขึ้นเป็น 4,260 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2560 หรือสูงขึ้นจากเดิมถึง 460 ล้านบาท
จำได้ว่า มีคนไปยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ด้วย ว่ามีการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ หรือไม่ ประการใด? ซึ่งประเด็นในการตรวจสอบจะเป็นคนละส่วนกับคดีที่ศาลปกครอง
กรณีที่ศาลปกครองกลาง บริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย
แต่กรณีที่ ป.ป.ช. คงจะต้องไต่สวนข้อเท็จจริง ลงรายละเอียดที่มูลแห่งการกระทำ ว่าใครผิดกฎระเบียบ กฎหมาย หรือไม่? อย่างไร?
รอดูผลลัพธ์สุดท้ายของโครงการนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี