รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเร่งแก้ไขปัญหาผลผลิตทางด้านเกษตรกรรมที่สำคัญในพื้นที่15จังหวัดภาคใต้นับตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปจนถึงจังหวัดนราธิวาสรวม 4 ประเภทคือผลผลิตประมง, ปาล์มน้ำมัน, มะพร้าวและยางพาราสำหรับด้านประมง, ปาล์มน้ำมันและมะพร้าวนั้นกระบวนการแก้ไขสถานการณ์ได้ดำเนินการผ่านไปแล้วนับถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา
ที่ยังเหลืออยู่ก็คือปัญหายางพาราที่ราคาตกต่ำมาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี แล้วทำให้เกษตรกรที่ปลูกยางพาราในพื้นที่ภาคใต้เดือดร้อนหนักมานานเพราะราคากำลังร่วงลงไปอยู่ที่ 3 กก. 100 บาทมานานหลายเดือนปัญหาพื้นฐานที่พบเห็นก็คือผลผลิตยางทุกประเภทล้นตลาดมีปริมาณมากกว่าความต้องการของตลาดคือโอเวอร์ซัพพลายมีอุปทานผลผลิตมากเกินกว่าจำนวนผู้ซื้อ
เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของโลกเดิมนั้นสามารถปลูกยางพาราได้เองแล้วเป็นจำนวนมากล่าสุดจีนมีสต๊อกยางดิบถึง 571,507 ตันจึงมีความต้องการซื้อเข้าน้อยประกอบกับในปัจจุบันถึงวันที่ 13 พ.ย.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็อ่อนตัวลงเหลือบาร์เรลละ 60 เหรียญสหรัฐแล้วหลังจากราคาพุ่งขึ้นไปถึง 80 เหรียญสหรัฐเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เมื่อน้ำมันดิบมีราคาลดลงมาเช่นนี้ก็ส่งผลให้โอกาสของการที่ยางจะมีราคาเขยิบสูงขึ้นไปลดลงตามไปด้วยเพราะทั้ง 2 ผลผลิตมีส่วนเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางยานยนต์ร่วมกันยังผลทำให้การแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำยากมากขึ้นไปอีกสำหรับประเทศไทยถ้าหากจะให้ยางมีราคาสูงขึ้นรัฐบาลก็ต้องทุ่มเอาเงินงบประมาณแผ่นดินออกมารับซื้อยางเข้าไปเก็บไว้เพียงประการเดียววิธีที่จะส่งออกยางในตลาดโลกแทบจะเป็นไปไม่ได้นอกจากเกิดมหาสงครามโลกเท่านั้น
การแก้ไขปัญหายางราคาตกในระยะยาวนั้นรัฐบาลได้ใช้วิธีสนับสนุนให้เกษตรกรที่ปลูกยางลดพื้นที่การปลูกยางลงมาให้เหลือพื้นที่น้อยลงเพื่อทำให้ผลผลิตยางในอนาคตลดลงพอเหมาะสมกับสภาพความต้องการของตลาดโลกแต่วิธีนี้เกษตรกรในภาคใต้ไม่พอใจแน่นอนที่จริงการทำให้อุปทานกับอุปสงค์มาพบกันในปริมาณที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว
อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางด้วยการนำเอาเงินงบประมาณของรัฐไปรับซื้อยางเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้พอเลี้ยงชีพนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำแต่คงใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆคงไม่ถูกต้องนักการลดพื้นที่ปลูกยางให้เหลือใกล้เคียงกับความต้องการของตลาดโลกน่าจะเป็นวิธีการที่เป็นไปได้มากที่สุด
ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องหาทางให้เกษตรกรในภาคใต้หันไปปลูกพืชผลอื่นๆ ที่สร้างรายได้มากกว่าจะไปปลูกยางพาราเหมือนเมื่อ 50 ปีก่อนโดยผลผลิตนั้นต้องมีตลาดรองรับซึ่งจะเป็นผลผลิตประเภทใดนั้นอยู่ที่รัฐบาลจะกำหนด อาทิ ผลไม้ที่ตลาดต้องการ ได้แก่ทุเรียน, มังคุด, ลองกอง, มะม่วง ฯลฯ หรือปลูกผักปลอดสารพิษราคาแพง เป็นต้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี