พลันที่พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศให้สมาชิกของพรรคได้หยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค โดยใช้ระบบไพรมารี คือ 1 คน 1 คะแนน เท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกรุ่นไหน อยู่ที่ไหน จะเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี อดีตกรรมการบริหารพรรค ประธานสาขาพรรค หรืออะไรก็ตาม ทุกคนมี 1 คะแนนเท่ากัน
“ความก้าวหน้า” ทางประชาธิปไตยเช่นนี้นั้น หลายคนตามไม่ทัน และหลายคนก็พลันออกอาการ “องุ่นเปรี้ยว”
ก่อนหน้านี้ พรรคการเมืองกลุ่มหนึ่ง พยายามยึดเอาคำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” มาห่อหุ้มตัวเอง เพื่อบดบังความอุจาดทางเผด็จการนายทุนที่ครอบกะลาหัวพวกตัวเองอยู่ แล้วผลักไสฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไปเป็นพวก “อนุรักษ์นิยม” บ้าง พวกสมคบกับเผด็จการทหารบ้าง ทว่าประชาธิปไตยของพวกเขา ไม่ได้ต่างจากระบบไพร่ทาสสมัยโบราณ คือ นายมีประกาศิต ชีวิตขึ้นอยู่กับนาย บ่าว-ไพร่ ทาส ขี้ข้า พร้อมจะถูกทรยศหักหลังและ “ตายแทน”ได้ ดูตัวอย่างของรัฐมนตรีคนหนึ่งที่ติดคุกติดตะราง พร้อมกับคำที่จะกลายเป็นตำนานไปชั่วลูกชั่วหลานคือ “กูพูดไม่ได้” หรือคนเสื้อแดง นปช. ที่สนับสนุนทางการเมืองแก่พรรคบางพรรค ที่ถูกฝังกลบให้ “ตายฟรี” ด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ต้องรู้ความจริงว่าตายอย่างไร ใครทำให้ตาย ล้มล้างกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้คดีขึ้นสู่ศาล หากคดีใดอยู่ในกระบวนการของศาลแล้ว ให้ยุติเสีย
บางพรรคที่ก่อร่างสร้างความเชื่อถือมาจากฐานของ “มวลมหาประชาชน” ก็ประกาศว่าตนเป็น “พรรคการเมืองของประชาชนพรรคแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย”
ประชาธิปัตย์ไม่พูดไม่จาอะไร ประกาศเปรี้ยง!! หยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค สร้างประชาธิปไตยทางตรงจากสมาชิกพรรค 1 คะแนนมีน้ำหนักเท่ากันหมด ไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือเป็นคนในภูมิภาคไหน
พวกองุ่นเปรี้ยวพลันพิรี้พิไร สร้างวาทกรรมที่คาบไปบ้วนต่อๆ กันในโลกออนไลน์ทันทีว่า เป็นแค่ “ปาหี่” ทำทีเป็นแข่งกัน
คนพวกนี้ไม่มีจิตใจที่นิยมประชาธิปไตยจริงจังอะไรหรอก เพราะถ้ามี ต้อง “ชมเป็น” ไม่ใช่พอไม่ใช่พวกกู ทำอะไรก็ผิดหมด ปลอมหมด
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านรายการ “ต้องถาม” ในทำนองว่า “อันที่จริงก็คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า นายอภิสิทธิ์คงชนะการหยั่งเสียง หรือไม่ว่าจะเลือกหัวหน้าพรรคโดยวิธีใด ก็น่าจะชนะ แล้วจะจัดหยั่งเสียงให้ยุ่งยากสิ้นเปลืองไปทำไม”
คำตอบของนายอภิสิทธิ์นั้น น่าสนใจมาก เขาตอบว่า “เพราะกระบวนการมันสำคัญกว่าผลลัพธ์”
บ้านเราเน้นการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์โดยไม่สนใจ “กระบวนการ” จริงๆ นะครับ ก็ดูตอนนี้เถิด สื่อมวลชน นักวิเคราะห์ นักวิชาการ ไม่เคยชักจูงให้ประชาชนไปสนใจกระบวนการได้มาซึ่ง “ตัวแทน” ของเขา ที่เรียกว่า “การใช้สิทธิเลือกตั้ง” เลย วันๆ เอาแต่ “จัดตั้งรัฐบาลแทนประชาขน” นั่งกดเครื่องคิดเลขว่า พรรคนั้นน่าจะได้เสียงเท่านี้ พรรคนี้น่าจะได้เสียงเท่านั้น เอาใครมารวมกับใคร ใครจะได้เป็นรัฐบาล แล้วใครกันจะเป็นนายกรัฐมนตรี สาละวนกันอยู่เท่านี้ มีรัฐบาลกันเรียบร้อยแล้ว ในเวลาที่ประชาชนยังไม่ได้ไปลงคะแนนเลย
จะดีไหม หากสื่อมวลชน นักวิเคราะห์ และนักวิชาการ ซึ่งเป็นระดับนำของสังคม จะหลุดจากกรอบคิดเดิมๆ แบบการเมืองไร้คุณภาพให้ได้ มาสู่การสร้างการเมืองแบบใหม่ ที่เข้าใจ “กระบวนการประชาธิปไตย” ให้มากขึ้น ยิ่งกว่าการเอาผีทักษิณ ผีเผด็จการ ผีกองทัพ และสีเสื้อ มาหลอกหลอนประชาชนคนเลือก ให้เดินเข้าคูหาด้วยการเกลียดคนนั้น กลัวคนนี้ จนลืมไปว่า ตนมีหน้าที่ “เลือกตัวแทน” ที่รับทราบปัญหา ใส่ใจปัญหา มีความรู้ มีหมู่คณะที่ดีพอที่จะใช้กลไกของ “ระบบรัฐสภา” เป็นที่และเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหานั้น ตลอดจนเป็นตัวแทนไปจัดสรรและใช้ทรัพยากรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ได้แก่งบประมาณแผ่นดินและอำนาจ ทั้งยังมีหน้าที่ตรวจสอบ แก้ไข ยกร่าง และกลั่นกรองกฎหมาย ที่ชั่วที่ดี ที่มีผลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั้งชาติด้วย การเลือก “ผู้แทนราษฎร” จึงมีความหมายจริงๆ ตามกระบวนการประชาธิปไตย ที่ไม่มีใครพากเพียรที่จะนำประชาชนทุกหมู่เหล่าไปให้ถึง
เมามันกับการแบ่งขั้วแบ่งข้าง ตั้งรัฐบาลกันล่วงหน้า แล้วลากจูงชี้นำประชาชนมาสู่ “สงครามตัวแทน” ใส่คะแนนให้แก่ “พวกกู-ฝ่ายกู” กันอยู่นั่นแหละ!!
สาละวนกับการเป็น “บ่างช่างยุ” แทนที่จะเป็นสื่อกลางสร้างคุณภาพประชาธิปไตย เพราะเมื่อไรก็ตาม ที่ผู้เลือกเข้าใจความหมายของ “การเลือก” ผลลัพธ์นั้นจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง
เช่น การเลือกหัวหน้าพรรคโดยสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ ใน 3 ตัวเลือก คือ เบอร์ 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เบอร์ 2 นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และเบอร์ 3 นายอลงกรณ์ พลบุตร นั้น เป็นตัวเลือกที่หลากหลาย เหมาะเจาะ และครบถ้วนที่สุดแล้ว
นายอภิสิทธิ์เป็นตัวแทนของฝ่ายอุดมการณ์ที่ยึดมั่นต่อหลักการความเป็นประชาธิปัตย์ คือ แนวทางเสรีประชาธิปไตย คุณหมอวรงค์บอก หากเป็นอย่างนั้นต่อไป ประชาธิปัตย์ก็ไม่เปลี่ยน ผมกล้าเปลี่ยน! ขณะที่นายอลงกรณ์มาแบบเฉลี่ยๆ คือ เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนนะ แต่ต้องรักษาหลักการความเป็นประชาธิปัตย์ที่ดำรงมาจนเป็นสถาบันทางการเมือง 72 ปี หรือพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ คู่ชิงมีแค่ 2 คน คือ “มาร์ค” กับ “หมอ” ขณะที่อลงกรณ์นี้ถือถนนที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ ให้เขาหวนกลับเข้าพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างสวยๆ เท่านั้นเอง
คนนอกประชาธิปัตย์ ยากต่อการเข้าใจว่า การเลือกจะรักษาจุดยืนหลักการประชาธิปัตย์ กับการกล้าเปลี่ยนนั้น คือเดิมพัน!! ที่สมาชิกจะเป็นคนเลือก
ในที่สุด มติของเสียงส่วนใหญ่เลือกนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้า นั่นแปลว่าเขายังต้องการใครก็ตาม ที่เคารพ ยืนหยัด ต่อหลักการเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยน ไม่ปรับ ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก หรือความต้องการของประชาชน แต่ต้องเปลี่ยนอย่าวมีหลักการ ไม่เปลี่ยนประชาธิปัตย์ให้เป็นพรรคการเมืองดาษดื่นทั่วไป ที่มุ่งหมายแต่จะ “ชนะการเลือกตั้ง”
โดยไม่ถนอมหลักการ เช่นนั้นแล้วจะมีประชาธิปัตย์ไปทำไม ก็มีแค่พรรคการเมืองอย่างที่มีทั่วๆ ไปก็พอแล้ว
ไอ้ที่เคยบอกว่า เป็นแค่ปาหี่การแข่งขันก็งงสิครับ ตอนแข่ง แข่งกันแรง แข่งกันจริง ยิ่งในหมู่แม่ยกกองเชียร์นี่ ถลำเลยไปยิ่งกว่าคู่แข่งขันเสียอีกชนิดแตกคอ จิกเหน็บ และเลิกกินข้าวด้วยกันไปพักหนึ่งเลยเชียวล่ะ (ฮา...)
จบการแข่งขัน ภาพงามๆ ก็เกิดขึ้น
“...วันนี้ตนใส่เสื้อหน้าอกชื่อ อภิสิทธิ์ และขอแสดงความยินดีกับคุณอภิสิทธิ์อีกครั้งที่เป็นหัวหน้าพรรค ที่มาจากการลงคะแนนของประชาชนและเชื่อว่าจะสามารถนำพาพรรคประชาธิปัตย์ไปสู่ชัยชนะได้ ส่วนคะแนนที่ตนได้รับมา 5.7 หมื่นกว่า ก็ถือว่าไม่น้อย และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในพรรค และช่วงหาเสียงที่ผ่านมาบางสิ่งบางอย่างที่ทำไป อาจทำให้ไม่สบายใจ หรือล้ำเส้นก็ขอโทษด้วยความจริงใจ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในพรรค ทั้งนี้เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในพรรคเกิดขึ้น...” นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม กล่าวในที่ประชุมเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2561 หลังจากนายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร เสนอชื่อของเขาเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคให้เป็นไปตามกฎหมาย
อย่าลืมว่า ประชาธิปัตย์ เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่ากฎหมายพรรคการเมือง ที่กำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ของพรรคเลือกหัวหน้าพรรค แต่ประชาธิปัตย์ให้สมาชิกทั่วประเทศเลือกหัวหน้าพรรค ดังนั้น ก็ต้องเอาชื่อเข้าที่ประชุมให้ ให้ที่ประชุมใหญ่ “ทำพิธีเลือก” หัวหน้าพรรคตามกฎหมาย ซึ่งนายอลงกรณ์ พลบุตร เสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสงกรานต์ เสนอชื่อคุณหมอวรงค์ แต่ท่านประกาศถอนตัวพร้อมถ้อยคำดังกล่าว
ก็เกิดดราม่าอีก เมื่อที่ประชุมโหวตเลือกนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค ทำให้นายอภิสิทธิ์ได้สิทธิในการเลือก “คนทำงาน” เช่น รองหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค เฉพาะรองหัวหน้าพรรค ก็มีสองแบบ คือ รองภาค ดูแลภาคเหนือภาคกลาง ภาคใต้ กทม. เป็นต้น กับ “รองภารกิจ” อันนี้ก็คือ แล้วแต่หัวหน้าพรรคจะมอบหมายให้ช่วยภารกิจด้านใด เพราะหัวหน้าคนเดียว คงทำไปเสียทุกงานไม่ได้ อันนี้หัวหน้าเลือก
เวลาเราเลือกคณะทำงานของเรา เราก็ต้องเลือกคนที่ “แนวทางเดียวกัน” ใช่ไหมครับ อันนี้เป็นสิทธิโดยชอบ และเป็นความราบรื่นของการทำงาน ซึ่งไม่ได้ทำให้ตนเอง แต่ทำให้พรรคนั่นแหละ
ดังนั้น ไอ้ดราม่าประเภท “ทำไมกรรมการบริหารพรรค ไม่มีชื่อหมอวรงค์หรือทีมงานเลย” จึงเป็นเรื่อง ปากหอยปากปู!! แต่ไม่ศึกษาข้อเท็จจริงว่า
หมอวรงค์กับคณะเขาประกาศไม่รับตำแหน่งใดๆ เลย แค่ฝากไว้คนหนึ่งคือ ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ให้ที่ประชุมพิจารณา แต่พอถึงเวลา บางตำแหน่งมีคนเสนอ ดร.ศุภชัย ท่านก็ขอถอนตัว ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ทั้งหมด นอกจากต้องมี “คนเสนอชื่อ” (ไม่ใช่แค่ฝากลอยๆ) แล้ว ก็ยังต้องให้ที่ประชุมลงคะแนน และต้องมีคะแนนเกินกึ่งหนึ่งอยู่ดี ไม่ใช่นายอภิสิทธิ์เป็นคนฟันธงหรือตัดสินใจคนเดียวเสียเมื่อไหร่กัน
บางคนเลยเถิดไปถึงขั้นว่า โอบามา ยังชวนฮิลลารี ซึ่งเป็นคู่แข่งมาทำงานด้วยเลย ก็นั่นแนวทางเขาขัดกันที่ไหนเล่า และนี่มันแค่ตำแหน่ง “กรรมการบริหารพรรค” แต่พรรคยังมีภารกิจและงานสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย ประกอบกับหมอวรงค์ท่านก็แสดงสปิริตของคนแพ้ เปิดทางให้คนชนะได้เลือกคนทำงานที่พอใจและรับรองอีกชั้นโดยคะแนนจากที่ประชุม มันจะต้องอะไรนักหนากันอีกล่ะ
กระบวนการได้มาซึ่งหัวหน้าพรรค ที่ให้สมาชิกมีส่วนร่วม ให้ที่ประชุมมีส่วนกลั่นกรองรับรองอีกชั้น คือ “บันไดแห่งประชาธิปไตย” ที่สะอาดและสวยงามแล้ว ชมไม่เป็นก็เงียบไว้ ทำความเข้าใจกับมัน แล้วเอาไปใช้กับพรรคที่ยังไม่ได้ทำดีกว่าเนอะ
แล้วก็ไม่ต้องรีบ ว้า! โว้ย! อย่างนี้ประชาธิปัตย์แม่งก็เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนอะไรสิวะ!!
ใจเย็นๆ แล้วจง “ทำความเข้าใจ” มีหลายเรื่องที่จะใช้มาตรฐานพรรคการเมืองอื่นๆ มา “จับ” ทางเดินของประชาธิปัตย์ไม่ได้ เช่น นายอภิสิทธิ์ประกาศเลย ประชาธิปัตย์ไม่แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย คือไม่ไปตั้งพรรคย่อยๆ เก็บคะแนนเพื่อชัยชนะ แต่จะต่อสู้แข่งขันอย่างสง่างาม ว่ามีแค่ประชาธิปัตย์เท่านั้น ไม่มีสาขา ไม่ตบตาแตกแบงก์ ไม่อ้างโน้นอ้างนี้ เพียงเพื่อกลัวจะ “ไม่ชนะ” ไม่ต้องถามด้วยว่าจะรวมกับพรรคทหารหรือพรรคทักษิณ เพราะจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชน ทำไมต้องไปต้อนให้ประชาชนอับจน เหลือแค่ตัวเลือกว่า จะเอาทักษิณหรือไม่เอาทักษิณ จะเอาเผด็จการหรือขี้โกง จะเอาทหารหรือต้านทหาร ในเมื่อพรรคการเมือง มีหน้าที่ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทำสงครามการเมือง และยังไม่รู้เลยว่า ฉันทามติของประชาชนออกมาแบบไหน ก็ตั้งรัฐบาลกันแล้ว!
ท่าทีของนายอภิสิทธิ์ชัดเจนว่า ประชาธิปัตย์จะทำงาน “รบกับปัญหาของประชาชน” ไม่ว่าแพ้หรือชนะ แต่ในฐานะผู้นำ ก็ต้องพยายามนำพรรคเข้าต่อสู้เพื่อให้ชนะ และพูดบ่อยนักว่า “อายุ 54 แล้ว หมดเวลาที่จะต้องเกรงใจกัน” อย่างน้อยการไม่เลือกหมอวรงค์หรือทีมหมอวรงค์เข้าทำงานในตำแหน่งต่างๆ ในกรรมการบริหารพรรค ก็เป็นทั้งการเคารพเจตนารมณ์ของหมอและยืนยันว่า “ไม่เกรงใจ” จริงๆ แล้วไง
นี่แหละ เปลี่ยนแล้วระลอกที่หนึ่ง ส่วนระลอกอื่นๆ ตามดูด้วยความเข้าใจกันต่อไป!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี