มนุษย์เกิดมาแม้จะมีความแตกต่างหลากหลายทั้งด้วยความคิด ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี มนุษย์จำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกัน อาศัยสติและปัญญาในการควบคุมกำกับอารมณ์ โมหะ โทสะ และโลภะ ให้ได้ เพื่อมวลมนุษย์จักได้มีความเมตตาและความปรานีต่อกันและกัน และร่วมชีวิตด้วยฉันทามติและมิตรไมตรี
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะหวาดระแวงความต่างใดๆ ไปจนถึงขั้นการปฏิเสธความต่าง (Intolerance) โดยสิ้นเชิง หรือมุ่งที่จะขจัดสิ่งที่ตนหวาดระแวงให้หมดสิ้นไป ทำให้มีกลุ่มมนุษย์ที่ยึดมั่น ถือมั่นในความคิดและวิถีชีวิตของตนเท่านั้น โดยปฏิเสธผู้อื่น ที่ต่างผิวสี รูปพรรณสัณฐาน ต่างความเชื่อถือ และการนับถือศาสนา ต่างการแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี และต่างการดำรงชีวิตประจำวัน
กลุ่มมนุษย์ที่ถือมั่น ยึดมั่นเหล่านี้ มีความประสงค์ให้กลุ่มต่าง ต้องปรับตัวเข้ากับกลุ่มตน หรือไม่ก็หาทางในการขับไล่ ข่มขู่ คุกคาม จนถึงขั้นประหัตประหารกัน จนบานปลายกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทำลายล้างมนุษยชาติด้วยกัน
ที่มนุษย์มีความโหดร้าย โหดเหี้ยม ต่อกันได้อย่างถึงที่สุด ก็เพียงเพราะการไม่รับ ไม่ยอม ไม่อ่อนข้อ ให้กับความต่างใดๆ ทั้งสิ้นนี่เอง
ในสังคมปัจจุบัน มนุษย์สุดโต่งหัวรุนแรงเหล่านี้ ต่างมีกระจายตัวทั่วไปในทุกสังคม บางกลุ่มก็ซุ่มตัวอยู่รอโอกาส บางกลุ่มก็ปรากฏตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งก็จัดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติมนุษย์ ตราบใดที่ยังไร้สติ และยังลุ่มหลงอยู่กับ กับดักทางอารมณ์
แล้วใครผู้ใดเล่าที่จะควบคุมมิให้กลุ่มมนุษย์ในหมู่เหล่าของตน ถือตนเหล่านี้ไปกลั่นแกล้ง คุกคาม หรือบ่อนทำลายกลุ่มอื่นๆ ที่มีความต่าง?
ในลำดับแรก ก็ต้องเป็นเรื่องของฝ่ายผู้ปกครองบ้านเมือง หรือฝ่ายรัฐบาลนั้นๆ นั่นเอง ที่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันมิให้มีการละเมิดกฎหมาย และละเมิดสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
แต่ทว่า ก็มีอยู่ในหลายๆ ประเทศที่ฝ่ายรัฐบาลเป็นตัวการตัวร้ายเสียเอง คือนำเอาเรื่องชาติพันธุ์ เรื่องศาสนาความเชื่อถือ เป็นต้น มาเป็นเครื่องมือกลไกทางการเมืองเพื่อสร้างและขยายฐานคะแนนนิยม และปิดหนทางคู่ต่อสู้ทางการเมือง
ในสถานการณ์เช่นนั้น หน้าที่คัดค้าน ท้วงติง ต่อต้าน ก็ต้องเป็นเรื่องของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เป็นเรื่องของผู้นำทางศาสนาและจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของนักคิด นักปราชญ์ นักเขียน เป็นเรื่องของสื่ออุดมการณ์ และเป็นเรื่องของผู้มีชื่อเสียงในสังคม ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน นักแสดง นักกีฬา เป็นต้น ที่จะต้องออกมาแสดงตัว แสดงความห่วงใยบ้านเมือง แสดงจุดยืนของการรับความต่าง และความเป็นพหุสังคมแห่งวัฒนธรรม กลุ่มคนชั้นนำเหล่านี้ก็ต้องทำตัวเป็นพลเมืองที่เอาเรื่องเอาราวกับความเป็นไปของบ้านเมือง (Engaged Citizens)
ขอยกกรณีของประเทศอินเดีย ซึ่งตัวรัฐบาลเองภายใต้การนำพาของนายกรัฐมนตรี นเรทระ โมที แห่งพรรคภารตียชนตา (Bharatiya Janata Party - BJT) ก็ได้ดำเนินนโยบายเน้นเรื่องชาติพันธุ์ ศาสนาฮินดูนิยม (Hindu Nationalism) โดยมุ่งคุกคามพวกมุสลิมอินเดีย และชนกลุ่มน้อยต่างๆ
ก็เลยเป็นหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านหลัก คือพรรคคองเกรส ที่จะต้องออกมาคัดค้าน ท้วงติง และหาแนวร่วมกับพรรคอื่นๆ ที่ยังยึดมั่นในหลักและอุดมการณ์ประชาธิปไตยของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายแตกต่าง นอกจากนั้นก็ยังสามารถสร้างเครือข่าย และสนับสนุนผู้นำทางสังคมต่างๆ ทั้งวงการวิชาการ นักคิดนักเขียน ศิลปินนักแสดง เป็นต้น ในการปฏิเสธความคิดและการใดก็ตามที่มุ่งสร้างความแตกแยก และใช้เสียงข้างมากเป็นเผด็จการสังคม
ในแง่กลับกันที่ประเทศปากีสถาน บัดนี้มีรัฐบาลใหญ่ที่ชนะการเลือกตั้งภายใต้การนำพาของอดีตนักกีฬาอาชีพคริกเก็ต (Cricket) ระดับโลก ได้ออกมาเป็นทางเลือกให้กับสังคมการเมืองปากีสถานระหว่างพรรคครอบครัวครอบงำขาประจำ 2 พรรค คือ พรรค Muslim League ของตระกูล Sharif และพรรค People Party ของตระกูล Bhutto ที่จะต้องร่วมกันออกมาต่อต้านการใช้กฎหมายอ้างอิงศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยคริสเตียน และนิกายอามาห์ดิยะห์ (Ahmadi)
ประเด็นทั้งหมดคือ การรณรงค์ให้ทุกกลุ่มทุกหมู่เหล่าต่างมีที่ยืนในสังคมนั้นๆ และเป็นภาระหน้าที่ของผู้นำสังคมที่จะต้องออกมาช่วยกันจรรโลงสังคม ให้มีการยอมรับซึ่งกันและกัน และให้ทุกหมู่เหล่ามีที่ยืน และมีความเมตตาปรานีต่อกัน
ความกล้าหาญของผู้นำทางสังคมที่จะยืนกับความถูกต้องชอบธรรม เป็นเรื่องที่ทุกสังคมจะต้องมี เพื่อมิให้ความไร้เมตตา แพร่ขยาย และขจัดให้หมดสลายไปในที่สุด และที่สำคัญคือ นักการเมือง พรรคการเมือง นักเคลื่อนไหว ผู้นำทางศาสนา จะต้องไม่เป็นเสียเอง และไม่นำเอาเรื่องความต่างมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ซึ่งในประเด็นการเป็นสังคมเปิดนี้ สังคมไทยมีความโดดเด่นมาโดยตลอดในเวทีโลก เป็นสังคมที่ต้อนรับผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็น โดยมีชนกลุ่มต่างๆ อาศัยกันอย่างผาสุก แม้จะมี 5 ศาสนาหลักๆ แต่สังคมไทยก็ไม่เคยมีประวัติในการขัดแย้งระหว่างศาสนา จะมีที่เป็นปัญหาบ้างก็คือ ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองโดยปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
ประชาชนไทยจึงควรได้ทบทวนถึงความสงบสุขดังกล่าว และคอยย้ำเตือนใจตนเองว่า เราจะต้องไม่สูญเสียความโดดเด่นในการอยู่ร่วมกันด้วยสันตินี้ไป สังคมไทยจะได้ก้าวหน้าไปอย่างสงบสุขเช่นที่ผ่านๆ มาในอดีต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี