รัฐบาลเริ่มขยับทำในสิ่งที่เข้าท่าหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือ การปลดล็อกไม้มีค่าบนที่ดินกรรมสิทธิ์
แต่อย่าเพิ่งตายใจว่าได้คะแนนนิยมจากประชาชน ตราบที่ผลของนโยบายหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบนั้น ยังไม่ปรากฏถึงมือชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรม
1. ล่าสุด นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ) ลงพื้นที่บ้านท่าลี่ ต.บ้านกง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ประเด็น “ไม้ยืนต้น ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้” หลังจากที่กฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา
ระบุว่า ไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ของประชาชนเป็นทรัพย์สินที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ (เพิ่มจากที่ดิน) ส่งผลดีทั้งต่อสถาบันการเงินและเกษตรกร/ประชาชนที่ต้องการขอสินเชื่อเพราะมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน
ยิ่งกว่านั้น ยังประกาศส่งเสริมให้เกษตรกรและคนในชุมชนรวมกลุ่มกันสร้าง “ชุมชนไม้มีค่า” ตามแนวนโยบายประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้มีการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์ กำหนดเป้าหมายให้เกิดชุมชนไม้มีค่า 20,000 ชุมชน ภายใน 10 ปี ส่งเสริมและขยายผลให้ประชาชน 2.6 ล้านครัวเรือน ปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,000 ล้านต้น จะทำให้มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 26 ล้านไร่ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 1 ล้านล้านบาทต่อปี แถมประกาศจะเตรียมพัฒนาพื้นที่ปลูกป่าทั่วประเทศให้เป็นแหล่ง “คาร์บอนเครดิต” ของโลก เพื่อการซื้อขายในอนาคต โดยคาร์บอนเครดิตเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สามารถตีราคาเป็นเงินและสามารถซื้อขายกันได้ในตลาดเฉพาะที่เรียกว่า
ตลาดคาร์บอน ณ ปัจจุบันยังไม่มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเลย แต่ในอนาคตคาดว่าจะเป็นสินค้าที่มีความสำคัญและมีการซื้อขายกันมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซด์) ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม หรือจากการคมนาคม
2. ขอเดาว่า นี่น่าจะเป็นนโยบายหาเสียงอันหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ
ขอเตือนว่า หากเอาไปใช้แค่หาเสียง จะไม่ได้คะแนนหรอก เพราะไม่มีผลประโยชน์รูปธรรมจับต้องได้
ขอเรียกร้องว่า ในฐานะที่รัฐบาล คสช.มิอำนาจเต็มตามกฎหมายในปัจจุบัน ไม่ต้องรั้งรออะไรแล้ว ควรเดินหน้าดำเนินการเต็มสูบ เต็มที่ ทำไปเลย ไม่ต้องรอเลือกตั้ง
อย่าให้ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาส
กฎหมายและกฎระเบียบใดที่ค้างคา ควรรีบทำเสียให้สำเร็จในยุคนี้ แล้วเดินหน้าให้เกิดผลรูปธรรม สัมผัสและจับต้องได้โดยเร็ว ซึ่งนอกจากประชาชนจะได้ประโยชน์แล้ว พรรคการเมืองไหนสนับสนุนหรือต่อยอดในทางที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเพิ่มเติมก็จะได้คะแนนนิยม
3. ขอให้รัฐบาล คสช.นำเอาข้อคิดเห็นจากภาคประชาสังคมหลายๆ ส่วน ที่ผลักดันเรื่องนี้มานาน นำไปพิจารณาต่อยอด เพื่อขับเคลื่อนให้สุดซอย ไม่ต้องไปรอให้พรรคการเมืองนำไปหาเสียงเลยก็ได้ (มิฉะนั้น รัฐบาล คสช.เองอาจจะถูกโจมตีจนเสียรังวัด)
ยกตัวอย่าง ข้อคิดความเห็นจากเฟซบุ๊ค “ชินภัทร ตันศรีสกุล” ชี้ประเด็นที่น่าสนใจ บางตอนว่า
“..ภาพไม้พะยูงไทยที่คนไทยต้องแอบตัดของตัวเองมาขายถูกๆ กิโลล่ะ 500 บาท แล้วแกล้งไปแจ้งความว่าโดนขโมย.. ต้องลักลอบขน
ข้ามลาว คนลาวขายได้กิโลกรัมล่ะ 2,500 ส่งถึงเวียดนาม เมื่อส่งถึงจีนคนเวียดนามขายได้กิโลกรัมล่ะ 5,000 บาท ....ปีๆ หนึ่งเค้าขายกันตั้งกี่หมื่นกี่แสนตัน นี่คือความจริงที่น่าอดสู...พะยูงของไทยเราแท้ๆ.. แต่เรากลับขายได้ราคาเพียง 1 ใน 10 ของราคาจริง.. คนลาวกับเวียดนามร่วมกับคนจีนได้ไปเต็มๆ 9 บาท คนไทยได้บาทเดียว แถมเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง
...นี่คือความเสียโอกาสของประเทศไทยอย่างมหาศาล เพราะรัฐไทยมองแต่เพียงมุมมองด้านการห้ามตัดและออกกฎระเบียบมาหลากหลายเพื่อให้เกิดความยุ่งยาก แต่ก็ไม่เคยได้ผล..พะยูงไทยโดนลักลอบตัดไปจนเกือบสูญพันธุ์อยู่ดี
..ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้เข้าประเทศเป็นล้านล้านบาท.. ในมูลค่าความสูญเปล่าของมูลค่าไม้แต่ก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ดี.. ถ้าหากรัฐไทยมองอีกแบบ คือ อะไรยิ่งจะสูญพันธุ์ ยิ่งต้องส่งเสริมให้ปลูกเป็นไม้เศรษฐกิจไปเลย ผ่อนปรน กฎระเบียบทุกๆอย่างลง.. แก้กฎหมายให้พะยูงในที่เอกสารสิทธิถูกต้องสามารถส่งออกได้ไม่ยุ่งยาก.. ทุกๆ คนพร้อมจะปลูกเพิ่ม จะมีการอนุรักษ์ต้นแม่พันธุ์ไว้ทำกล้าขาย.. เกิดธุรกิจตามมาอีกมากมาย ทั้งธุรกิจกล้าไม้ ธุรกิจทำไม้ ธุรกิจแปรรูปไม้ประชาชนมีรายได้ที่ดีขึ้น ช่วยกันนำเงินตราเข้าประเทศ
...ส่วนผู้ที่ลักลอบตัดไม้ในป่าสงวนก็ต้องปราบปรามและลงโทษอย่างเด็ดขาด.. และเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตร่วมกับโจรต้องลงโทษอย่างเด็ดขาด..หากจัดให้ไม้พะยูงไทยเป็นไม้เศรษฐกิจ ไม่ใช่ไม้ป่า..ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
...ยกตัวอย่าง สมัยก่อนจระเข้ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.. กฎหมายห้ามเยอะแต่ก็เกือบสูญพันธุ์อยู่ดี แต่พอแก้กฎหมายให้มาเป็นสัตว์เศรษฐกิจเท่านั้นเอง จระเข้ก็มีการเลี้ยงเป็นที่แพร่หลาย เต็มบ้านเต็มเมืองและนำเงินตราเข้าประเทศได้ไม่น้อย...ไม่มีวันสูญพันธุ์…”
4. การปลดล็อกไม้มีค่าบนที่ดินกรรมสิทธิ์ เป็นแนวคิดที่ถูกต้องแล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ
ยังไม่อาจถือว่าประสบความสำเร็จเพียงแค่ออกประกาศกฎหมายแล้ว
ยังไม่เกิดผลรูปธรรม จับต้องได้ทันที
แต่จะต้องลงรายละเอียด ผลักดัน ติดตามอำนวยความสะดวก เพื่อให้ประโยชน์ที่นโยบายเปิดช่องไว้ ตกไปถึงมือประชาชนจริงๆ มิฉะนั้น สิ่งที่ทำไปก็จะด้อยค่า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี