นับเป็นโอกาสดี ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพจัดประชุม “1st ICUTK International Conference 2018. And Call for Paper (IIC 2018)” ภายใต้ธีมใหญ่ของการประชุม เรื่อง “Globalization and Current Business Trends in the 4thIndustrial Revolution” และผมได้รับเกียรติให้ปาฐกถาพิเศษ (Keynote)เรื่อง “Globalization and HR Trends in the 4th Industrial Revolution” จึงทำให้ผมได้คิดวิเคราะห์ถึงเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคต่างๆ อีกครั้ง และเชื่อมโยงไปสู่แนวโน้มเรื่องทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต
โลกาภิวัตน์และแนวโน้มด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและกระทบกับทุกคนเพราะวันนี้เราปฏิเสธโลกาภิวัตน์ไม่ได้อีกต่อไปและมันส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อสังคมและทรัพยากรมนุษย์ในทุกๆ มิติ
หากจะพูดถึง “โลกาภิวัตน์” ผมจำได้ว่าในสังคมไทยแรกเริ่มมีการพูดกันมาก คือเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว หากจะอธิบายอย่างง่าย “โลกาภิวัตน์” ก็คือ ผลจากการพัฒนาการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้แต่ละประเทศในโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้นทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่สามารถสร้างการเชื่อมโยงระหว่างปัจเจกบุคคล ชุมชน หน่วยธุรกิจ และรัฐบาลทั่วทั้งโลกโดยในยุคแรกๆที่เห็นได้ชัดเจนคือการเคลื่อนย้ายของสินค้าและบริการต่างๆ ระหว่างประเทศโดยการลดภาษาให้เหลือใกล้ๆ 0
แต่โลกาภิวัตน์ในปี 2018 ไม่ใช่แค่เพียงการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการเท่านั้น แต่เป็นการเคลื่อนย้ายของเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อระหว่างคนเป็นพันล้านคน
หากจะพูดถึง “ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4”Professor Klaus Schwab เขาเป็นวิศวกรและนักเศรษฐศาสตร์ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของ World Economic Forumได้พูดถึงความเป็นมาและคำจำกัดความไว้อย่างน่าสนใจ
ยุคแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นประมาณศตวรรษที่ 18 เป็นการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาแรงงานคนและสัตว์เป็นหลักไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเครื่องจักรเป็นหลักเริ่มค้นพบเครื่องยนต์แบบใช้ไอน้ำเริ่มเปลี่ยนจากเกษตรไปสู่อุตสาหกรรม
ต่อมาในยุคที่สองของการปฏิวัติอุตสาหกรรมอยู่ระหว่าง ปี ค.ศ.1870-1914 ก็มีการพัฒนามากขึ้นจากการใช้เครื่องยนต์แบบไอน้ำไปเป็นเหล็ก การใช้น้ำมัน การใช้ไฟฟ้า รวมทั้งเริ่มมีการใช้โทรศัพท์ในการสื่อสาร
ในยุคที่สามของการปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณปี ค.ศ.1980 นับเป็นก้าวแรกของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอินเตอร์เนต คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเสิร์ชเอนจิ้น (Search Engines) เป็นต้น
ปัจจุบันเรากำลังเข้าสู่ยุคที่สี่ของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาและการขยายตัวอย่างรวดเร็วมากของเทคโนโลยี และเทคโนโลยีดิจิทััล โดยเฉพาะเรื่องหุ่นยนต์ (Robotics), ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligenceหรือ AI), นาโนเทคโนโลยี, ไบโอเทคโนโลยี, technology, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, “เทคโนโลยียานพาหนะไร้คนขับ (Autonomous and near-autonomous vehicles) และ internet of things เป็นต้น
ประเด็นสำคัญของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคที่ 4 คือ โลกาภิวัตน์จะยิ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์เร็วขึ้นและมากขึ้น เพราะวันนี้ทุกคนสามารถทำธุรกิจที่ไหน หรือเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งในเรื่องนี้ก็เป็นความท้าทายของผู้นำรัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาควิชาการจะต้องทำงานร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์ด้วยการมองแนวโน้มเรื่องทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตเป็นสำคัญ
สำหรับผมซึ่งคิดและทำเรื่องนี้มานานและตกผลึกความคิดและประสบการณ์ถ่ายทอดเป็นทฤษฎีง่ายๆ แบบ Chira Way ซึ่งหากได้นำมาผนวกร่วมกับ World Economic Forum Way ก็จะช่วยต่อกันให้เป็นภาพที่สมบูรณ์ได้
Chira Way เรื่องแรกผมเริ่มต้นจาก “HR Architecture” ซึ่งฉายภาพให้เห็นว่า “เรื่องทรัพยากรมนุษย์” จะต้องมองใครครบวงจร ทุกช่วงวัย ตลอดชีวิต
เรื่องที่สอง คือ การพัฒนาคุณภาพของทุนมนุษย์ซึ่งผมเรียกว่าเป็น “การปลูก” ซึ่งผมได้ให้แนวทางการพัฒนาด้วยทฤษฎี 8K’s+5K’s (New) ไว้เป็นเครื่องมือนำทาง
เรื่องที่สาม คือ การบริหารคน การสร้างแรงจูงใจให้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ผมเรียกว่าเป็น “การเก็บเกี่ยว” การสร้างแรงจูงใจให้ทรัพยากรมนุษย์ของเราใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่นั้น มีความสำคัญมากในทุกๆ มิติของการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับแรงจูงใจในเรื่องที่จับต้องไม่ได้ หรือ ที่ผมมักจะเรียกว่า “Intangible Motivation” เช่น การมอบอำนาจ มอบงานที่ท้าทาย การให้ความสมดุลในชีวิตกับงาน อิสระ ความสุข เป็นต้นในเรื่องนี้ผมได้ให้แนวทางการบริหารคนด้วยทฤษฎี 3 วงกลมและ HRDS เป็นเครื่องมือนำทางสำหรับทุกท่านซึ่งได้กล่าวถึงในบทความอย่างต่อเนื่อง
เรื่องสุดท้ายในวิธีการแบบ Chira Way คือ การลงมือทำให้สำเร็จเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆ การก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ในเรื่องนี้ ผู้นำภาครัฐต้องมองระยะยาวมากกว่าระยะสั้น และต้องทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลสำเร็จ ต้องใช้ภาวะผู้นำในทุกระดับ ต้องทำงานเป็นทีม และต้องสร้างคุณค่าจากความหลากหลายให้ได้
ส่วนแนวทางของ World Economic Forum Way พูดถึงเรื่องแรก คือ ในอนาคตงานของคนจะหายไป 35% เพราะจะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ AI และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดและกระทบต่อทุกคนอย่างแน่นอนมีการพูดถึง 10 ทักษะที่จำเป็นของคนในอนาคต (ปี ค.ศ. 2020) ประกอบด้วย
1.สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ (Complex problem solving)
2.การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
3.ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
4.การบริหารจัดการคน (People Management)
5.การประสานงานกับผู้อื่น (Co-ordinate with others)
6.ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)
7.การตัดสินใจ (Judgement and Decision Making)
8.หัวใจบริการและการปรับตัว (Service mind or Orientation)
9.การเจรจาต่อรอง (Negotiation)
10.ความสามารถปรับเปลี่ยนความคิดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป(Cognitive Flexibility)
ทักษะทั้ง 10 ข้อข้างต้น มีหลายๆ เรื่องที่ตรงกับ ทฤษฎี 8K’s+5K’s (New)ของผมแต่ Chira Way คือ การมองแบบตะวันออก จึงให้ความสำคัญกับเรื่องของทุนแห่งความสุข ทุนแห่งคุณธรรมจริยธรรม และทุนแห่งความยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย
ทั้ง 2 แนวทางนี้ช่วยเสริมแรงกัน และจะเป็นเข็มทิศนำทางแห่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรือทุนมนุษย์ในทุกระดับ ทุกบริบทได้เป็นอย่างดี เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ทรัพยากรมนุษย์ของโลกในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และอนาคต
จีระ หงส์ลดารมภ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี