“การเลือกตั้งครั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา เราจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆเหล่านี้ เป้าหมายทุกคะแนนมีความสำคัญฉะนั้นตัวบุคคลในแต่ละเขตแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนให้ได้ เพราะทุกคะแนนมีความสำคัญมาก” นายสมศักดิ์
เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ภายในงานเปิดรับสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ มีคำพูดเหล่านี้กำลังสะท้อนกึ่งยอมรับว่าจะใช้ประโยชน์หรือได้ประโยชน์จากกระบวนการต่างๆที่ผ่านมาของคสช.ใช่หรือไม่? จนเกิดคำถามว่ากระบวนการต่างๆ ที่ผ่านมาของคสช.กำลังเอื้อให้เกิดการสืบทอดอำนาจหรือไม่? เพราะกระบวนการที่ผ่านมา หากมองย้อนลึกลงไปก็น่าคิดว่าสิ่งที่ทำไปหรือเป็นไปตามสิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่? ทั้งรัฐธรรมนูญ คำสั่งคสช. หรือ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเมือง?
ตั้งแต่เรื่องของคำสั่งของคสช. อาทิ เรื่องการยกเลิกสมาชิกเดิมของพรรคต่างๆ และกำหนดให้มีการมายืนยัน
ตัวตนของสมาชิก เพื่อเป็นการอัพเดตฐานข้อมูลและแสดงตนว่ามีบุคคลที่เป็นสมาชิกเหล่านี้จริงหรือไม่? รวมถึงข้อบังคับที่ว่าพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ภายในหนึ่งปี และจะต้องมีเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 คน ภายใน 4 ปี เพื่อเป็นการสร้างความเป็นสถาบันให้กับพรรคการเมือง และสร้างฐานเสียงที่เข้มแข็ง ทั้งหมดนี้จะไม่มีปัญหา หากแต่รัฐบาลคสช.กำหนดให้มีการยืนยันสมาชิกในช่วงที่ยังไม่ปลดล็อกการทำกิจกรรมทางการเมือง จึงไม่แปลกที่สุดท้ายแล้วพรรคใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์จะมีผู้กลับมายืนยันสมาชิกเพียง 8 หมื่นคน จากสมาชิกเดิมถึง 2 ล้านคน ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็เจอปัญหาเดียวกัน จากเดิมมีสมาชิก 1.3 แสนคน ลดลงมาเหลือเพียง 1 หมื่นคน อย่างนี้เรียกว่าเป็นการรีเซตพรรคการเมืองหรือไม่? หรือเป็นการล้างไพ่ทุบฐานเสียงเก่าของพรรคคู่แข่ง เพื่อให้พรรคใหม่ได้เข้าสู่เวทีการเลือกตั้งอย่างสะดวก?
ในขณะที่การเปิดตัวพรรคน้องใหม่อย่างพรรคพลังประชารัฐที่มีรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้บริหารพรรคถึง 4 คน ยังไม่รวมข้าราชการการเมืองอีกมากมายที่เข้าร่วมพรรคด้วย ถึงแม้จะมีการออกมาพูดอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ก่อตั้งพรรคมาเพื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เมื่อดูการนำเสนอความคิด นโยบาย รวมถึงบุคคลในพรรคดูจะมองเป็นอย่างอื่นยาก? แต่สิ่งที่สร้างความข้องใจให้แก่พรรคการเมืองอื่นทั้งหลายก็คือ ครม.สัญจรเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในนามของรัฐบาล ตลอดจนข้อเสนอต่อจังหวัดต่างๆ ว่าจะทำอะไร ให้อะไรกับจังหวัดนั้นบ้างถือว่าเป็นการออกหาเสียงก่อนกำหนดหรือไม่? การที่รมต.อยู่ในกรรมการบริหารพรรคแล้วยังไม่ลาออกจากการเป็นรมต. อย่างนี้ถึงแม้ไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดจริยธรรมหรือไม่? หรือจะเป็นในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีการออกสื่อของกลุ่มสามมิตรที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล เดินทางลงพื้นที่ไปพบกับอดีตสส. อดีตนักการเมืองท้องถิ่น หรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ที่มีกระแสข่าวลือว่าเป็นการเดินทางเพื่อไปเจรจาดูดคนเข้ามาสังกัดกับกลุ่มตนเอง และเป็นการลงพื้นที่หาเสียง แต่กลับถูกมองว่าไม่ผิดกฎหมายหรือคำสั่งคสช.ใดๆ เพราะอ้างว่ากลุ่มของตนยังไม่ได้เป็นพรรคการเมืองจึงไม่ผิด แต่ในทางกลับกันพรรคการเมืองเก่าหลายพรรคถูกควบคุม และจำกัดจากรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ ห้ามประชาสัมพันธ์กิจกรรมพรรคต่างๆ ตามคำสั่งคสช. กติกาที่ออกจากคนกลาง จึงมีคำถามว่าเป็นกติกาที่เป็นธรรมหรือไม่?
ล่าสุดคสช.ได้ออกคำสั่งที่ 16/2561 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง(เพิ่มเติม) ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้กำหนดว่าเมื่อพ.ร.ป.เลือกตั้งสส.ประกาศในราชกิจจาฯ ให้กกต.ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งและประกาศให้แล้วเสร็จก่อนพ.ร.ป. ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ซึ่งมีผลต่อความสงสัยต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการเลือกตั้งอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือการเลื่อนการเลือกตั้งหรือไม่? ที่มีการผ่อนผันและขยายเวลาให้กกต.ดำเนินการ ถึงจะมีกำหนดเวลาที่ชัดเจนว่าต้องประกาศก่อนพ.ร.ป.เลือกตั้งบังคับใช้ แต่คำสั่งคสช.นี้ยังมีถ้อยความที่อาจชวนคิดได้ว่าจะเลื่อนหรือไม่? และสองการเปลี่ยนเขตเลือกตั้งใหม่หรือไม่? ในบางจังหวัดก็มีแผนที่จำลองเขตเลือกตั้งออกมาให้ดู 3-4 แบบ การเปลี่ยนแปลงในแต่ละแบบมีผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละพรรคอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้งในครั้งนี้ใครคือฝ่ายที่ได้ประโยชน์กันแน่? หากย้อนกลับไปดูคำพูดของสมศักดิ์ แกนนำกลุ่มสามมิตร และดูพฤติกรรมของรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ที่สุ่มเสี่ยง หรือมีแนวโน้มที่จะสืบทอดอำนาจจากพรรคพลังประชารัฐนั้น คำสั่งคสช.ที่ 16/2561 นั้นจะเอื้อให้กับใคร? กระบวนการที่กึ่งจะเลื่อนการเลือกตั้งหรือการแก้เขตนั้นทำเพื่อใคร? หากมีการเลื่อนการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงพรรคใดจะได้ประโยชน์?
เพราะหลังจากที่พรรคพลังประชารัฐก่อตั้งและเปิดตัวมาได้สักพัก ปัจจุบันก็มีข่าวว่าได้วางตัวสส.ไปแล้วเกือบ 80%
ใช่หรือไม่? ย่อมต้องรู้ตัวดีว่าผู้สมัครของพรรคนั้นมีจุดอ่อนและจุดแข็งอยู่ตรงพื้นใด? จุดใดอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน?
อำเภอใดเมื่อรวมกับอำเภอใดถึงได้คะแนนที่สามารถทำให้ชนะในพื้นที่นั้นได้? อำเภอใดเมื่อรวมอยู่กับอำเภอใดแล้วจะ
เสียคะแนนเป็นลบย่อมรู้ดีใช่หรือไม่? ต้องตามดูตลอดว่า การเกาะติดครั้งนี้ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง สส.ในเขตนั้นๆ หรือพื้นที่นั้นได้หรือไม่?
หากลองมองดูไปแล้วพรรคใหม่อย่างพรรคพลังประชารัฐตอนนี้มีสภาพเป็นพรรคที่มีพลังดูดมากที่สุด ถึงขนาดที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาพูดเองเลยว่า “ประสบการณ์สมัยอยู่พรรคไทยรักไทย ซึ่งคิดว่ายิ่งใหญ่แล้ว แต่วันนี้เป็นความยิ่งใหญ่มากกว่าสมัยเปิดพรรคไทยรักไทย คิดว่าน่าจะเป็นการเตรียมการที่ดี องค์ประกอบ และมีผู้สมัคร 350 คน บัญชีรายชื่อรวม 500 คน คุณภาพคับแก้ว” แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือน่าตกใจเท่าไหร่ เพราะเมื่อย้อนไปดูอดีตในประวัติศาสตร์พฤติกรรมดูดเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับครั้งในอดีต ตั้งแต่ในสมัยพรรคสหประชาไทย ที่มีทหารไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรค และสมัยที่พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ตั้งพรรคประชาชาติ ที่ได้จัดตั้งรัฐบาลเพราะได้เสียงส่วนใหญ่จากสว. สมัยพล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่ตั้งพรรคสามัคคีธรรม ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในสภาฯแต่ก็มีการเชิญมาให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่มาของพรรคคืออะไร พฤติกรรมตอนนี้ถูกมองว่าไม่แตกต่างจากทั้งสามพรรคในอดีตหรือไม่? แต่อาจแตกต่างจากสองกรณีจากสองพรรคต่อไปนี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จทางการเมืองเช่นเดียวกันแต่มีพฤติกรรมคนละแบบ หนึ่งคือในยุคสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ถือว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในตอนนั้นพล.อ.เปรม ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด แต่สุดท้ายก็ได้รับแรงสนับสนุนจากนักการเมืองหลายพรรคให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ และอยู่ได้นานถึง 9 ปี สองแตกต่างจากพรรคไทยรักไทย ที่ถือว่าเป็นพรรคพลังดูดแรงเช่นกัน? ซึ่งไม่แน่ใจว่าใช้อำนาจทางการเมืองมาดูด หรือใช้เงินมาดูดกันแน่? หรือเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆทำให้นักการเมืองสังกัดพรรคต่างๆถูกดูดไหลไปรวมกัน จนทำให้รัฐบาลมีจำนวน สส. มากถึง 377 คน และสุดท้ายถูกมองว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา
พรรคพลังประชารัฐ จากแนวทางในการทำงานคู่ขนานในตอนนี้ ขาหนึ่งยังคงเป็นรัฐบาลคุมตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีและตำแหน่งข้าราชการการเมือง ส่วนอีกขาหนึ่งนั้นก็ยังมีการประชุมพรรคดำเนินงานทางพรรคการเมืองในนามพรรคการเมืองที่เตรียมดำเนินการแข่งขันในครั้งหน้า เพื่อเอาชนะทั้งเขตและคะแนนความนิยมจากประชาชนในนามรัฐบาล และก็ถือว่าเป็นงานใหญ่ต่อเนื่องจากรัฐบาลคสช. แต่คนที่จะเป็นใหญ่อาจไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ เพราะจากคำพูดของนายสมศักดิ์และนายสุริยะทำให้เราคิดได้ว่า สิ่งต่างๆ ที่ออกแบบมาไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ คำสั่งคสช. หรือพ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองทั้งหลายนั้นออกแบบมาเพื่อการเมืองกลุ่มใหม่? ก็เหมือนแสงไฟที่จุดเทียนเป็นตัวนำทางอย่างสว่างจ้านั้นก็คือพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะนำทางจนเทียนมอดดับทั้งเล่มเพื่อส่งต่อให้เทียนเล่มใหม่ ซึ่งอาจอยู่ในร่างทรงของพรรคการเมืองนั้นอาจไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ แต่อาจเป็นสัก ส. หนึ่งที่อยู่ในรัฐบาลชุดนี้ที่กุมอำนาจอยู่อย่างที่แท้จริงหรือไม่?
“...การกล่าวความจริง มักทำร้ายจิตใจผู้คน...”
โกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี