ตอนที่ 1
ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมโลก การยึดอยู่บนพื้นฐานของบริบทนิติธรรมในสังคมระหว่างประเทศนับเป็นประเพณีมาเป็นเวลายาวนาน หลักแนวคิดที่เข้าใจกันอยู่แต่ดั้งเดิมเริ่มต้นมาจาก Hugo Grotius2 หรือ Hugo de Groot (ในภาษาดัชท์) ตั้งแต่ตอนต้นศตวรรษที่ 17 ผู้เป็นทั้งนักกฎหมาย กวี นักเขียนบทละคร นักการศาสนา นักการทูต และอื่นๆ อีกหลายสาขา Grotius ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศ และได้เป็นผู้เขียนหนังสือที่ใช้เป็นแนวคิดหลักทางกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่หลายร้อยปีที่ชื่อ The Age of Reason เขาใช้หลักการที่ว่าเสรีภาพขึ้นอยู่กับการมีตัวบทกฎหมาย (rules of law) เป็นแนวที่มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับความคิดของ Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดียที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1998 ที่เขียนหนังสือ Development as Freedom เพื่อให้เหตุผลว่าการพัฒนาที่แท้จริงนั้นต้องเกิดจากชุมชนที่มีเสรีภาพเป็นพื้นฐานเท่านั้น ในแวดวงการพัฒนาระหว่างประเทศ การพัฒนาร่วมกัน(partnership) ถือว่าเป็นหลักการของพัฒนา ที่ยั่งยืนซึ่งต้องมีเงื่อนไขของสันติภาพ (ความมั่นคง) และเสรีภาพ (สิทธิมนุษยชน)ซึ่งทั้งสามเรื่อง (การพัฒนา ความมั่นคง และสิทธิมนุษยชน) ถือเป็นเสาหลัก 3 เสาที่ค้ำการปฏิบัติงานของสหประชาชาติในทุกยุคทุกสมัย Grotius ได้ให้แนวหลักในการคิดถึงเรื่องกฎหมายที่สำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้สองแนวทาง แนวทางแรกคือ แนวของกฎหมายสามัญ (natural law) ที่ต้องขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของการมีเหตุผลที่ถูกต้อง และแนวทางที่สองคือหน้าที่ของรัฐอิสระไม่ใช่เพียงแต่ว่าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนดของกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ต้องช่วยกันกำหนดตัวบทกฎหมายระหว่างประเทศให้ได้ด้วย ข้อคิดนี้ยังคงความเป็นจริงมาจนทุกวันนี้ ถ้าจะพิจารณาจากการทำงานขององค์การการค้าโลก (Word Trade Organization) ที่มีสมาชิกขององค์การที่มีหน้าที่สำคัญในการร่วมกันกำหนดกฎ ระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศที่จะนำไปสู่การค้าที่เสรีและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะในสภาพปัจจุบันที่การค้ามีผลต่อการพัฒนาประเทศสูงขึ้น การมีบทบาทร่วมกำหนดกฎ ระเบียบ เช่นนี้ จากฝ่ายประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะ จึงมีความถูกต้องและจำเป็นยิ่งขึ้นเพื่อก่อให้เกิดสังคมการค้าที่มีความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นธรรมมากที่สุด จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าก่อนการเกิดขึ้นขององค์การการค้าโลกปี 1994 ระบบการค้าโลกถูกปกครองโดยประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นหลักและมีข้อตกลงเดิมที่ชื่อ GATT (General Agreement on Tariffs and Trade) จากปี 1947 ซึ่งเป็นข้อตกลงหลวมๆ ทั่วไป โดยไม่ช่วยทำให้การค้าระหว่างประเทศมีพลังที่จะช่วยผลักดันการพัฒนาในระดับโลกได้เลย3 เนื่องจากขาดการมีส่วนร่วมจากประเทศกำลังพัฒนา
สืบเนื่องจากปัญหาของกระบวนการโลกาภิวัตน์ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เนื่องจากการเกิดการแข่งขันที่ทำให้มีการปล่อยสารแก๊สพิษและ greenhouse gas มากจนเกินความพอดีของโลก และการล่มสลายทางการเงินที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งสหัสวรรษของการพัฒนา (Millennium Development Goals) ระหว่างปี 2000-2015 จบลงด้วยการที่มีเป้าหมายหลายข้อที่ยังไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ เหตุการณ์วิกฤติทั้งหมดนี้ทำให้สหประชาชาติต้องตกลงกำหนดแนวทางในกรอบการพัฒนาและการบริหารระดับโลก (global governance) ที่เรียกกันว่า วาระ 2030 (Agenda 2030) ซึ่งประกอบไปด้วยเป้าหมายหลัก 17 เป้าหมายและเป้าหมายย่อยอีก 169 เป้าหมาย ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นนิติธรรมอย่างมีนัยสำคัญคือ เป้าหมายหลักที่ 16 เน้นเรื่องการส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและสมบูรณ์ (inclusive) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการให้ทุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการสร้างสถาบันที่มีประสิทธิภาพ รับผิดชอบและสมบูรณ์ในทุกระดับ โดยมีแนวนโยบายหลัก 10 ข้อ ซึ่งมี 4 ข้อเป็นหลักสำคัญคือ
ข้อ 16.3 ส่งเสริมให้มีตัวบทกฎหมาย (rules of law)ในระดับประเทศและระหว่างประเทศ และให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันในกระบวนการยุติธรรมสำหรับทุกคน
ข้อ 16.5 ลดการคดโกงและการให้สินบนในทุกรูปแบบอย่างชัดเจน
ข้อ 16.7 กำหนดให้กระบวนการตัดสินใจมีความสมบูรณ์ (inclusive) และให้มีส่วนร่วมรวมทั้งสะท้อนสังคมในทุกระดับ (representative)
ข้อ 16.8 ให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนร่วมที่แข็งแกร่งและกว้างขวางขึ้นในสถาบันการบริหารเศรษฐกิจโลก (institution of global governance) แนวคิดหลักของวาระ 2030 และ SDGJs ของสหประชาชาติชัดเจนมากที่ต้องการเห็นการมีการบริหารในบริบทโลกที่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วม
ผู้เขียนได้เคยเน้นตลอดมาว่าการบริหารองค์กรที่สำคัญ 3 แห่งของโลก คือ ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และองค์การการค้าโลก จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีหลักการร่วมกัน บริหารทั้งจากฝ่ายประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา4 มิใช่จะให้เพียงตัวแทนของประเทศ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป เข้าครอบงำเป็นการถาวรตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา การมีส่วนร่วมและมีพลัง (empowerment) ให้ประชาชนทุกกลุ่มในประเทศเข้าถึงระบบยุติธรรมและนิติธรรมก็เป็นเรื่องที่มีความหมายสำคัญยิ่งเช่นกันทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงแล้ว ยังจะมีผลต่อการควบคุมการรับสินบนและการฉ้อฉลในระบบสถาบันราชการโดยมีทั้งตัวบทกฎหมายที่โปร่งใสให้ชัดเจน และยังมีกลุ่มประชาชนหรือตัวแทนประชาชนเฝ้ามองอยู่ด้วย
แท้จริงแล้ว การเสริมสร้างระบบนิติธรรมที่สมบูรณ์ยังได้รับการสนับสนุนจากแนวทางที่แสดงออกในเป้าหมายแทบทุกเป้าหมายอีก 16 ข้อ ในวาระ 2030 ของ UN เช่น
เป้าหมายหลักข้อที่ 2 ทำให้โลกไม่มีความหิวโหย ให้มีความมั่นคงทางอาหาร และส่งเสริมโภชนาการที่ดีขึ้น และเกษตรที่ยั่งยืน
เป้าหมายหลักข้อที่ 4 ต้องการให้มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ มีความเท่าเทียมและสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาตลอดชีพสำหรับทุกคน
เป้าหมายหลักข้อที่ 5 ดำเนินนโยบายความเท่าเทียมทางเพศให้มีผลสำเร็จ รวมทั้งการให้มีพลังร่วม (empowerment) จากเด็กหญิงและสตรี
เป้าหมายหลักข้อที่ 7 ให้ทุกคนเข้าถึงแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนที่รับได้ มีความมั่นคงและยั่งยืน
เป้าหมายหลักข้อที่ 10 ลดความไม่เท่าเทียมกันทั้งภายในและระหว่างประเทศ
เป้าหมายหลักข้อที่ 17 ให้มีกลไกในการนำนโยบายมาปฏิบัติได้อย่างจริงจัง และเพิ่มความจริงจังในการให้มีส่วนร่วมระดับโลก (global partnership) ในการพัฒนาที่ยั่งยืน
การพัฒนากระบวนการยุติธรรมและนิติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องของตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว แม้ว่าพื้นฐานของการมีตัวบทกฎหมายที่สมบูรณ์จะเป็นสิ่งที่จำเป็นก็ตาม ความเท่าเทียมกันทั้งทางด้านโอกาส เศรษฐกิจ และสังคม มีผลต่อกระบวนการนิติธรรมอย่างมาก และในทางกลับกันบริบทของนิติธรรมจะมีอิทธิพลต่อการขยายโอกาสที่เท่าเทียมและเป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง อดีตเลขาธิการ UN นาย Ban Ki Moon จึงได้เคยกล่าวไว้ว่าเป้าหมายหลักที่ 16 ของการสร้างระบบยุติธรรมที่สมบูรณ์เปรียบเสมือนเส้นด้ายทองที่ถักทอผ่านตลอดทุกแขนงของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGJs) และเน้นว่าสิ่งที่ประสงค์ คือ rule of law ที่มีการยึดหลักตัวบทกฎหมาย และไม่ใช่ rule by law ที่อาจจะมีการใช้ตัวบทกฎหมายได้ตามใจผู้ปกครองที่อาจจะมีการเลือกปฏิบัติได้ (โปรดติดตามตอนต่อไปในวันศุกร์หน้า)
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี