เมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย. 2561 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้นกับแวดวงหมัดๆ มวยๆ กรณี ด.ช.อนุชา ทาสะโกอายุ 13 ปี เสียชีวิตขณะขึ้นชกมวยไทย ณ เวทีมวยในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ โดยผลการตรวจสอบพบว่า “เสียชีวิตด้วยอาการเลือดคั่งในสมอง” เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ไม่ใช่แค่ไทยแต่ไปไกลทั่วโลก นำมาซึ่งข้อถกเถียงอย่างร้อนแรงในสังคมไทยอีกครั้งว่า “การให้เด็กชกมวยยังสมควรจะมีอยู่ต่อไปหรือไม่?” ระหว่างคน 2 กลุ่ม
“ฝ่ายที่ต้องการเรียกร้องให้ยุติมวยเด็ก” นำโดยเครือข่ายแพทย์ บุคลากรด้านสาธารณสุข ตลอดจนนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเด็ก อาทิ รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ย้ำว่าเรียกร้องเรื่องนี้มากว่าทศวรรษ และล่าสุดได้เปิดหัวข้อรณรงค์ “แก้ไข พ.ร.บ. มวย 2542 ฉบับเก่า ห้ามเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ชกมวยไทยอาชีพ” บนเว็บไซต์ดังอย่าง change.org ด้วยเหตุว่าเพื่อไม่ให้สมองเด็กถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากการชกมวย
ข้อเสนอของคุณหมออดิศักดิ์ อาทิ อายุต่ำกว่า 9 ปีให้แค่รำมวย แสดงท่าทางอันหลากหลายของแม่ไม้มวยไทยเน้นสวยงาม เตะต่อยเป้า, อายุ 9-12 ปี แข่งแบบปะทะได้แต่ห้ามชกศีรษะ ถ้าชกที่ศีรษะจะไม่ได้คะแนน แถมถูกตัดคะแนน หรือจับแพ้ ที่สำคัญต้องใส่บอดี้การ์ด หรือเฮดการ์ดด้วย และอายุ 13-15 ปี แข่งแบบปะทะได้ มุ่งเป้าศีรษะได้ แต่ต้องชกแบบเบา เน้นเข้าเป้า เน้นทำคะแนนด้วยความแม่นยำไม่เน้นเอาเป็นเอาตายให้น็อก
โดยนอกจากเพื่อปกป้องสุขภาพร่างกายเด็กแล้วคุณหมออดิศักดิ์ยังให้เหตุผลอีกข้อคือ “สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับมวยไทย” จากเดิมที่เมื่อพูดถึงมวยไทย หลายคนมักจะมองว่า “เป็นกีฬาของคนจน” คนที่หัดชกมวยไทยเป็นคนที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด การห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ปี ชกมวยไทยอาชีพจะยกระดับให้มวยไทยดูดีขึ้นไม่ต่างจากกีฬาศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆ
ส่วนแพทย์อีกท่านหนึ่ง นพ.วิทยา สังขรัตน์หัวหน้าโครงการวิจัยเกี่ยวกับนักมวยเด็ก มหาวิทยาลัยมหิดล แม้จะจำกัดอายุไว้ที่ 15 ปี เช่นกัน แต่แตกต่างตรงที่ “ไม่ถึงกับห้ามเด็กชกมวย แต่ต่ำกว่า 15 ปีไม่ควรให้โจมตีที่ศีรษะ” เพราะจากผลวิจัยที่ใช้วิธีสแกนโครงสร้างสมองแล้วเปรียบเทียบเด็กวัยเดียวกันระหว่างกลุ่มที่ชกกับไม่ชกมวย พบว่ากลุ่มเด็กที่ชกมวยพบเลือดออกในสมอง ทำให้มีธาตุเหล็กสะสมจนเป็นพิษ ใยประสาทมีร่องรอยฉีกขาด รวมถึงค่าเชาวน์ปัญญา (IQ) น้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้ชกมวย 5-10 แต้ม ส่งผลต่อความสามารถในการเรียนหนังสือ
“แต่ในมุมของคนแวดวงมวยไทย..ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าปากท้อง” นักมวยของไทยที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่พื้นเพมาจากครอบครัวที่ฐานะไม่ค่อยดีนัก อาทิ ขาวผ่อง สิทธิชูชัย เจ้าของเหรียญเงินมวยสากลสมัครเล่นกีฬาโอลิมปิก ปี 1984 (2527) ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เหรียญรางวัลจากมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ กล่าวว่า ตนเองเริ่มชกมวยไทยตั้งแต่อายุ 12 ปี และย้ำว่ามวยไทยเป็นกีฬาที่คนยากจนเข้าถึงได้เพราะต้นทุนต่ำกว่ากีฬาชนิดอื่น
เช่นเดียวกับนักมวยไทยระดับตำนาน สามารถ พยัคฆ์อรุณ เล่าว่า เริ่มชกมวยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ภาพที่เห็นคือเด็กที่ชกมวยนั้นต้องการหาเงินเลี้ยงครอบครัว ซึ่งมวยไทยถ้าจะให้แข่งขันเป็นอาชีพได้จำเป็นต้องหัดตั้งแต่อายุน้อยๆ ขณะที่เหรียญทองมวยสากลโอลิมปิกคนแรกของไทยเมื่อปี 1996 (2539) สมรักษ์ คำสิงห์ ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะ “ขึ้นชกถี่เกินไป” เนื่องจากตามกฎหมาย พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ.2542 ระบุว่า“นักมวยชก 1 ครั้งต้องพักอย่างน้อย 21 วัน จึงจะชกครั้งต่อไปได้” แต่ผู้เสียชีวิตนั้นอายุ 13 ปี ชกมาแล้ว 170 ครั้ง ทั้งที่เริ่มหัดมวยเมื่ออายุ 8 ขวบ
ไม่ต่างจาก สมจิตร จงจอหอ เหรียญทองมวยสากลโอลิมปิก 2008 (2551) กล่าวว่าเริ่มหัดชกมวยไทยตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ย้ำเช่นกันกรณีมวยไทยต้องหัดตั้งแต่อายุน้อยๆ และอยากให้ผู้เกี่ยวข้องเน้นไปที่การ ควบคุมการฝึกสอนและการแข่งขัน ต้องมีอุปกรณ์ลดความรุนแรงให้นักมวยที่เป็นเด็กมากกว่า หรือจะเป็นทนายความ สุกฤษฏิ์ แพรกรีฑาเวศน์ ประธานชมรมนักกฎหมายเพื่อชาวมวย มองเหตุสลดที่เกิดขึ้นว่าน่าจะมาจากการจัดการแข่งขันที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่นกรรมการไม่มีวิจารณญาณที่รวดเร็วพอในการสั่งยุติการชกรวมถึงไม่มีแพทย์ประจำสนาม
สำหรับร่างกฎหมายมวยฉบับใหม่คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เร็วๆ นี้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กัน เช่น“การห้ามนั่งท้ายรถกระบะ-นั่งในแค็บ” ที่เป็นประเด็นร้อนประจำปี 2560 สืบเนื่องจากกรณีรถตู้ชนรถกระบะที่ จ.ชลบุรีช่วงเทศกาลปีใหม่ปีดังกล่าว แม้ต้นเหตุจะมาจากฝ่ายรถตู้ที่คนขับหลับในเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ฝ่ายรถกระบะที่มีคนนั่งท้ายกระบะเต็มคันก็สูญเสียมาก
ทำให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่สบายใจและเปรยขึ้นมาว่าไม่อยากให้คนไทยเสี่ยงชีวิตด้วยการนั่งท้ายรถกระบะอีก จากนั้นช่วงปลายเดือนมี.ค.ปีเดียวกัน ก่อนหน้าเทศกาลสงกรานต์ รัฐบาลได้สั่งห้ามประชาชนนั่งท้ายรถกระบะ นำมาสู่กระแสต่อต้านอย่างพร้อมเพรียงกันจากคนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าเสื้อสีใด อีกทั้งมีทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยเหตุผลว่า“รถกระบะเป็นพาหนะของคนหาเช้ากินค่ำ” โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จนรัฐบาลต้องยอมถอยในช่วงเย็นวันที่ 5 เม.ย. 2560
หรือจะเป็นกรณี “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีขี่มอเตอร์ไซค์” เรื่องนี้ไม่ได้เป็นกระแสรุนแรงมากเท่ากรณีรถกระบะเพราะยังไม่มีคำสั่งให้กวดขันจริงจัง แต่ก็มีเสียงสะท้อนว่า “ถ้าไม่ให้เด็กขี่แล้วจะให้ไปโรงเรียนได้อย่างไร?” ซึ่งก็คล้ายกับรถกระบะที่ “ระบบขนส่งมวลชนของไทยโดยเฉพาะต่างจังหวัดไม่สะดวกและถึงขั้นย่ำแย่” คนภูธรใช้รถกระบะทั้งขนข้าวของและพาครอบครัวญาติพี่น้องเดินทาง และด้วยความที่ผู้ปกครองต้องไปทำงานแต่เช้าประกอบกับไม่มีรถโรงเรียน ทำให้ต้องฝึกสอนหรือปล่อยให้บุตรหลานที่โตในระดับหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียน
แม้ว่าการกระทำดังกล่าว “เป็นสิ่งที่ประเทศพัฒนาแล้วห้ามทำเพราะไม่ปลอดภัย” ท้ายรถกระบะนั้นไม่มีเครื่องป้องกัน ส่วนเด็กต่ำกว่า 15 ปี นั้นวุฒิภาวะไม่เพียงพอในการตัดสินใจยามคับขันจึงไม่เหมาะสมที่จะให้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่โดยสภาพก็ไม่มีเครื่องป้องกัน “ทั้ง 2 เรื่องได้รับการสนับสนุนจากผู้เล็งเห็นความสำคัญของความปลอดภัยแต่ถูกคัดค้านโดยคนทั่วไปที่ต้องใช้พาหนะเหล่านั้นเพื่อเลี้ยงปากท้องไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม” และขอให้ไปกวดขันในเรื่องอื่นๆ เช่น ดื่มแล้วขับ ขับเร็วเกินกฎหมายกำหนดแทน เพราะเป็นสาเหตุที่ชัดกว่า
ต้องยอมรับว่า “ไทยแลนด์เป็นดินแดนของคนหาเช้ากินค่ำ” คนจำนวนมากยังต้องดิ้นรนหาเงินเลี้ยงปากท้อง “ไปเสี่ยงตายเอาดาบหน้ายังดีกว่าอดตายในวันนี้” เพราะรัฐไม่มีศักยภาพในการเลี้ยงดูประชาชนอย่างดีได้เฉกเช่นประเทศที่เจริญแล้ว “การใช้มาตรฐานโลกที่ 1 อาจไม่เหมาะสม” ดังนั้นต้องมาคิดว่าภายใต้บริบทแบบไทยๆ จะลดความเสี่ยงพร้อมๆ กับยังเปิดช่องให้คนที่โอกาสในชีวิตน้อยซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ทำมาหาเลี้ยงชีพได้อย่างไร!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี