พิจารณาจากกราฟ มองดูที่แต่ละปีย้อนหลังไป 3 ปี เทียบปีปัจจุบันที่เป็นคาดการณ์พบว่า แท่งเส้นทึบสุดนั้นคือ “ไทย” ซึ่งต่ำกว่าคนอื่นเขาในแง่ของอัตราการเจริญเติบโต กรณีนี้ “อัตราการเจริญเติบโต” หมายถึงว่า โตช้ากว่า ประเทศอาเซียนใกล้เคียงอัตราการโตช้ากว่าไม่ได้แปลว่า เจริญน้อยกว่าใดๆ นะครับ โตช้ากว่าคือ สปีดในการเจริญของเรา โตมากขึ้นก็จริงแต่ไวน้อยลงในช่วงนี้เท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญที่ชวนอ่านกันในวันนี้ก็คือว่า
ทำไมล่ะ!? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น!?
ทำไมไทยโตช้ากว่าคนอื่น ? เมื่อพิจารณาประเทศไทยกับ ประเทศในอาเซียนด้วยกันเองแล้วพบว่า 5 ปีที่ผ่านมา ไทยโตช้ากว่าเพื่อนบ้านทุกประเทศ โดยเศรษฐกิจไทยไม่เคยเห็นตัวเลขที่สูงเกิน 7% อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกที่ไทยฟื้นจากวิกฤติการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ แถมยังมีวิกฤติการเมืองในประเทศเกิดเหตุการณ์เผาเมืองโดยแกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำ
เสื้อแดงในเครือข่าย ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์มีโครงการไทยเข้มแข็งเข้ามาใช้ฟื้นฟูวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ปูพรมไประยะกลางเรื่องรายได้ของเกษตรกร สวัสดิการของประชาชนคนยากจน รวมไปถึงแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศระยะยาว ที่เน้นการพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมจีน เชื่อมโลก ก็ลงนามผ่าน MOU ในสภามาหมดแล้ว แต่มาถึงวันนี้ เราจะโตในลักษณะเหมือนปีนั้น หรือเหมือนยุครุ่งโรจน์ในอดีตไม่ได้อีกแล้ว จนตอนนี้ก็มีคำใหม่จากวงการเศรษฐกิจโลก ว่านี่คือภาวะ New Normal ของไทย คือโตต่ำไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างสำคัญทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเราผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านจาก เกษตรกรรม เป็น อุตสาหกรรม ตั้งแต่ช่วงปี 2523-2539 ไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มตัวในปี 2529 ซึ่งถือว่าเป็นปีแรกที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าภาคเกษตรเป็นครั้งแรก
แต่อย่างไรเสีย ภาคการเกษตรก็ยังมีส่วนสำคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะเป็นภาคที่เกี่ยวข้องกับจำนวนประชากรส่วนใหญ่ ซึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าว” เป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญในแง่ความเป็นสินค้าหลักของชาติ และสำคัญมากในแง่จำนวนผู้ผลิตกว่า4 ล้านครัวเรือน ที่คิดเป็นจำนวนประชากรกว่า 10 ล้านคน ส่วนพืชเศรษฐกิจที่ทำมูลค่าในเชิงรายได้มหาศาลคือ ยางพารา และปาล์มน้ำมัน และถือว่าเป็นสินค้าเกษตรหลักของภาคใต้แทบทั้งภาคอีกด้วย
เมื่อไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลังปี 2529 แนวนโยบายหลักในยุคนั้นจึงเน้นการลงทุนเพื่อการส่งออก และนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เน้นการเปิดเสรีทางการค้า การลงทุน และการเงินมากยิ่งขึ้น
เมื่อประเทศไทยเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมายิ่งขึ้น ในช่วงปี 2540 ถึงปี 2553 ช่วงแห่งการเปิดเสรีทางการเงิน และเสรีทางนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และนำไปสู่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจยุคแรก
ความสำคัญของการส่งออกของไทยนั้นสูงขึ้นอย่างมาก หลังจากยุคเสรีทางเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไป เราสำเร็จมากในช่วงยุค 3.0 จนเรียกได้ว่าไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งอออกในการพัฒนาเศรษฐกิจ และนี่เป็นผลพวงจากนโยบายในยุคโชติช่วงชัชวาลเมื่อช่วงปี 2520-2529 ในยุคของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีการไหลเข้าของเงินลงทุนมากมาย เศรษฐกิจในประเทศเฟื่องฟู รายได้ต่อหัวประชากร เพิ่มขึ้น 3 เท่า ในช่วงเวลาแค่ 8 ปี จาก 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก้าวพ้นความเป็นประเทศยากจน สู่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเป็นทางการ
ยุคโชติช่วงชัชวาล Thailand Glory สัดส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศสูงประวัติการณ์ ในขณะนั้นมีการเน้นลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก Eastern Seaboard รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ไทยมีข้อได้เปรียบอย่างมากในช่วงนั้น ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน รวมถึงการค้นพบก๊าซธรรมชาติ
ทำไมเราไม่เป็นแบบนั้นได้แล้วล่ะ !? คำตอบข้อหนึ่งก็คือขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง ในปัจจุบัน ความได้เปรียบดังกล่าวที่เคยมีในช่วงโชติช่วงชัชวาลหมดไปแล้ว บุญเก่าไม่มีอีกแล้วสินค้าที่ผลิตในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ได้แก่ รถยนต์เกียร์กระปุก มือถือโบราณ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แบบเก่า หมดยุคไปแล้ว
ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย แม้ว่าจะถูกบริหารจัดการให้ได้อันดับสูงขึ้น แต่ก็ยังตอบโจทย์เฉพาะภาคเอกชน และภาคการลงทุนรายใหญ่ ยังไม่ได้มีการกระจายให้เข้มแข็งไปทั้งประเทศ ภาคประชาชน และเอกชนรายย่อยยังอ่อนแอ เรื่องนี้ “การกระจายอำนาจ” ที่จริงจังสามารถช่วยได้
ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “มหานคร” ที่มากขึ้น ขยายความเจริญที่เป็นรูปธรรมสู่หัวเมืองอื่นๆ นอกจากกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักในปัจจุบัน ดังนั้นประเทศไทยของเรา จึงจำเป็นต้องหาวิธีการในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการกระจายออกจากส่วนกลาง ลดรัฐ ลดราชการ ลดกฎระเบียบกฎหมายที่สร้างอำนาจมหาศาลให้ส่วนกลาง และขยายกระจายความเจริญออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอน เทคโนโลยีมีส่วนช่วยได้อย่างมาก
4.0 เป็นแนวยุทธศาสตร์ที่ดี แต่การจะทำให้สำเร็จได้จริง ยังคงต้องอาศัยการพัฒนาด้านอื่นควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในหลายๆ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิรูปการศึกษา ทั้งหมดนี้อาจฟังดูเหมือนพูดซ้ำๆ แต่ถ้าจะทำจริงจัง แบบมีอำนาจเต็มแล้วล่ะก็ จะเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อชาติ เฉกเช่นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจจาก 2.0 เป็น 3.0 ในสมัยพลเอกเปรม
ตัวถ่วงชาติที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น การคอร์รัปชั่นยังคงเป็นปัญหาใหญ่อันสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศและการคอร์รัปชั่นมีต้นทุนที่สูงถึง 9 แสนล้านต่อปี จากสมมุติฐานคำนวณ 30% ของสัดส่วนงบประมาณประจำปี
ปัญหาเรื้อรังนี้แก้ไม่ได้แน่นอนด้วยพรรคการเมืองที่มีคราบแห่งการเป็นเจ้าแห่งการคิดค้นเรื่องทุจริตเชิงนโยบาย และพรรคการเมืองที่มีผลงานในการต่อต้าน และเอาจริงกับปัญหาคอร์รัปชั่นมากที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์
Disruptive Politics การถูกแทรกแซงทางการเมืองโดยอำนาจพิเศษ ความไม่มั่นคงทางการเมือง อำนาจพิเศษ ในหลายยุคหลายสมัยถึงแม้มีความจำเป็นในบางสถานการณ์ แต่ก็มีความสุ่มเสี่ยงหากอำนาจพิเศษดังกล่าวถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
การศึกษาไม่พัฒนา สัดส่วนประชากรที่มีการเกษตรเป็นอาชีพหลักยังสูง ในขณะที่ผลิตภาพการผลิตต่ำ
การศึกษาในที่นี้ขอเน้นย้ำถึงเรื่อง “ทักษะแรงงาน” และ “โอกาสในการเข้าถึงการศึกษา” รวมไปถึงการเรียนรู้ที่จะทำให้มีการพัฒนาทรัพยากรบุคคล มากกว่าการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทำข้อสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งวุฒิการศึกษาเพียงเท่านั้น พึ่งพาการผลิตเชิงเดี่ยวโดยไม่มีการพัฒนา สินค้า-ตลาด-กระบวนการผลิต
โลกเปลี่ยนไปด้วย 3 กระแสหลักหรือที่เรียกว่า เมกะเทรนด์ ที่ไทยต้องตระหนักให้ชัดและตามให้ทันเศรษฐกิจของเพื่อนบ้าน CLMV หรือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ถือเป็นกลุ่มประเทศที่โลกจับตา มีตัวเลขการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เร็วและสูงสุดอันดับต้นๆ ของโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้นเหมือนไทยเมื่อ 20-30 ปีก่อน และเราใช้ประโยชน์จากส่วนนี้น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อนบ้านที่นับวันจะมีรายได้สูงขึ้น มีกำลังซื้อที่จับต้องได้ การมองเป็นคู่ค้า คู่ลงทุนในระดับภูมิภาค รวมไปถึงเวทีแห่งการเป็น “อาเซียน” ยังมีบทบาทน้อยมากอยู่ และเรื่องนี้สำคัญมาก
Ageing Society ปัญหาสังคมผู้สูงอายุภาวะความเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งที่น่ากลัวอย่างมากที่จะนำประเทศเข้าสู่วิกฤติได้ในอนาคตคือเรื่อง “สังคมสูงอายุ” ถึงแม้ว่าจะมีการพูดกันอย่างแพร่หลายแล้ว แต่ยังไม่เคยถูกหยิบยกมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
ประเด็นสูงอายุในไทยส่วนใหญ่จะมีการถกในมิติการดูแลผู้สูงอายุเป็นหลัก แต่ประเด็นที่สำคัญกว่านั้นคือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยเราจะเปลี่ยนไปอย่างน่ากังวล นั่นคือ การที่เราจะมีกำลังแรงงาน วัยทำงานลดลง มีต้นทุนในการดูแลผู้สูงอายุ และการจัดการกับโครงสร้างประชากรที่สูงขึ้นอย่างมาก และนั่นนำไปสู่ภาคการบริโภคที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และภาคการบริโภคภายในแท้จริงแล้วคือตัวหลักสำคัญกว่าภาคการส่งออกในระบบเศรษฐกิจของไทยเองด้วยซ้ำไป
เทคโนโลยี Technology เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น ทั้งส่งเสริม และทดแทน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองเป็นอุปสรรคหรือโอกาส
ยุทธศาสตร์ไทยจึงต้องปรับตามกระแสหลัก ดังกล่าว
6.1 Logistics Hub ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม โทรคมนาคม ให้พร้อม
6.2 ปฏิรูปการเรียนการสอน ให้เด็กไทยติดอาวุธเพื่อการสื่อสาร เพื่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น
6.3 เพิ่มทักษะความรู้ให้เกษตรกร เพื่อ 1. ปรับวิถีการผลิตทางการเกษตร 2.ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความเป็นพรีเมียม 3. เข้าถึงตลาดได้โดยตรง
ทั้งหมดนี้ครับ คือส่วนที่มาตอบได้พอสังเขปว่า “ทำไมไทยโตช้ากว่าเพื่อน!?” และพอจะมีแนวทางใดบ้างที่สามารถช่วยทำให้ไทยกลับมาผงาดได้อีกครั้งหนึ่งบ้าง แนวคิดทั้งหมดนี้ผมสรุปรวบรวมมาจากหลายต่อหลายงานบรรยายของคุณกรณ์จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลัง ที่เล็งเห็นถึงบริบทที่ร้อยเรียงกันทั้งหมดนี้ และพร้อมจะมุ่งผลิตแนวนโยบายออกมาเพื่อให้ตอบโจทย์ที่ว่าให้เหมาะสมที่สุดกับประเทศไทยของเราครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี