คนไทยรุ่นเราท่านทั้งหลายจะนับถือบูชาพระไตรปิฎก เพราะถือกันว่าเป็นที่สถิตคำสอนของพระบรมศาสดา กระทั่งมีการตั้งเป็นโต๊ะหมู่บูชากราบไหว้ในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดวาอารามก็มีให้เห็นกันโดยทั่วไป
ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกนั้นเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง หากจะนับเวลาก็คงไม่ถึงพันปี เพราะเกิดเป็นตัวเป็นตนเป็นพระไตรปิฎกขึ้นก็ที่ประเทศศรีลังกา และคำว่าพระไตรปิฎกก็แพร่หลายขยายไปในวงการชาวพุทธทั่วโลก
ทว่าในพุทธศาสนาบางนิกายนั้นไม่มีพระไตรปิฎก คงถือเอาแต่พระสูตรและพระวินัยเป็นหลัก และหลายประเทศก็ไม่ยอมรับนับถือคำอธิบายต่างๆ ที่ต่อเนื่องออกไปจากพระไตรปิฎก ไม่ว่าฎีกาหรืออรรถกถาก็ตาม ซึ่งแตกต่างกับคติของชาวพุทธในประเทศไทยที่นอกจากนับถือพระไตรปิฎกแล้ว ยังนับถือไปถึงฎีกาและอรรถกถาต่างๆ ซึ่งแม้ว่าจะยอมรับนับถือโดยเปิดเผยว่าเป็นสิ่งที่อธิบายขึ้นในภายหลัง
สรุปความได้ว่า คัมภีร์พุทธศาสนาอันเป็นหลักของประเทศไทยนั้น นอกจากตัวพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีฎีกาและอรรถกถารวมเป็นสามประเภท และในสามประเภทนี้ยึดมั่นถือมั่นเอาว่าทั้งหมดในพระไตรปิฎกล้วนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเองสอนเอง ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดายังทรงพระชนม์อยู่นั้นไม่มีพระไตรปิฎก ไม่มีพระอภิธรรมปิฎก มีแต่ธรรมและวินัย และตลอดพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสย้ำอยู่แต่เรื่องพระธรรมวินัยทั้งสิ้น ไม่มีสักครั้งที่จะตรัสเรื่องพระอภิธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่าพระธรรมวินัยครั้งแรกเมื่อครั้งส่งพระอรหันตสาวกชุดแรกที่ประกอบด้วยพระปัญจวัคคีย์และกลุ่มพระยสะ รวม 90 รูป ออกไปประกาศพระศาสนา
ตรัสเป็นครั้งแรกว่า เธอทั้งหลายจงจาริกไปประกาศพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ให้ครบถ้วนทั้งอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากในโลก
ตรัสเป็นครั้งที่สองเมื่อครั้งส่งพระอรหันตสาวกชุดที่สองจำนวน30 รูป คือกลุ่มพระภัททวัคคีย์ออกไปประกาศพระศาสนา ซึ่งตรัสถ้อยคำอย่างเดียวกัน
ในระหว่างโพธิกาล เมื่อตรัสถึงพระธรรมคำสอนทั้งหลายก็ทรงใช้คำว่าพระธรรมวินัย และครั้งสุดท้ายเมื่อใกล้จะดับขันธปรินิพพาน ก็ตรัสเป็นปัจฉิมวาจาว่า เมื่อตถาคตล่วงลับไปแล้ว ธรรมอันเราแสดงแล้ว และวินัยอันเราบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลายจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย
สรุปรวมความว่า ตลอดพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดาไม่เคยตรัสถึงพระอภิธรรมเลย มีการกล่าวอ้างในภายหลังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพระอภิธรรมแก่พระพุทธมารดาในดาวดึงส์ และอ้างว่าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาในดาวดึงส์ในพรรษาที่เจ็ดแห่งโพธิกาล และอ้างเลยเถิดไปว่าพระสารีบุตรนั่งเข้าฌานอยู่ที่ใต้ร่มไม้จึงแอบได้ยินสิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงพระอภิธรรม
แต่ในพระไตรปิฎกและพุทธประวัติทั้งหลาย แม้ประวัติของพระสารีบุตรเองก็ปรากฏชัดเจนว่า ตลอดโพธิกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นไม่เคยตรัสเรื่องพระอภิธรรม ในพรรษาที่เจ็ดแห่งโพธิกาลก็ไม่เคยปรากฏเรื่องของพระอภิธรรมเลย และแม้ถึงกาลปรินิพพานของพระสารีบุตรก็ไม่ปรากฏจากคำกล่าวของพระสารีบุตรหรือสานุศิษย์ของพระสารีบุตรเลยว่าพระสารีบุตรได้ยินได้ฟังพระอภิธรรมดังที่กล่าวอ้าง
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีคำยืนยันหรือรับรองจากพระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากและได้รับพรจากพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หากแสดงธรรมกับใครที่ไหนซึ่งพระอานนท์ไม่ได้อยู่ด้วยแล้วก็จะทรงเล่าให้พระอานนท์ได้ทราบทุกครั้งไป ก็ไม่มีปรากฏว่าตรัสเรื่องนี้กับพระอานนท์ และพระอานนท์ก็ไม่เคยกล่าวหรือรับรองว่าตรัสเรื่องพระอภิธรรม
แม้ในช่วงทำสังคายนาครั้งแรกหลังพุทธปรินิพพาน การสังคายนาครั้งนั้นใกล้กับเวลาที่พุทธปรินิพพานมากที่สุด พระอรหันต์ส่วนใหญ่ที่ทันเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ก็อยู่กันครบ แม้กระทั่งสานุศิษย์ของพระสารีบุตรก็ยังอยู่กับครบถ้วน และไม่มีผู้ใดพูดถึงพระอภิธรรมเลย
ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า ตลอดพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาจนถึงการทำสังคายนาครั้งแรกยังไม่มีพระอภิธรรม แม้การสังคายนาครั้งหลังๆ ก็มีแต่พระธรรมวินัยทั้งสิ้น มาเป็นพระไตรปิฎกและเรียกพระไตรปิฎกกันก็ที่ประเทศศรีลังกา
ในศรีลังกานั้นมีสำนักใหญ่อยู่สองสำนัก และมีเครือข่ายของแต่ละสำนักอยู่เป็นการทั่วไป สำนักหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นสำนักใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดคือสำนักมหาวิหาร และถือเป็นวัดหลวงของศรีลังกาด้วย เป็นสำนักที่ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากทางราชการ พระไตรปิฎกและพระอภิธรรมเกิดขึ้นและเผยแพร่โดยสำนักนี้
ครั้นประเทศไทยเสียทีแก่พม่า พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญ คัมภีร์พระพุทธศาสนาสูญหายไปหมด จึงได้มีการแต่งทูตไปจำเริญพระพุทธศาสนาจากศรีลังกา ซึ่งย่อมเป็นที่แน่นอนว่าต้องผ่านระบบราชการ ดังนั้นพระไตรปิฎกที่สำนักมหาวิหารเป็นเจ้ากี้เจ้าการอยู่จึงสืบทอดมายังกรุงศรีอยุธยา ดังที่เรียกว่าเป็นพุทธศาสนาลังกาวงศ์ คือพระพุทธศาสนาสายศรีลังกา
ครั้นพระพุทธศาสนาในศรีลังกาเสื่อมสูญไปในเวลาต่อมา ก็มาจำเริญพระพุทธศาสนาจากประเทศไทย ซึ่งก็คือเหง้ากอของลังกาวงศ์จากสำนักมหาวิหารนั่นเอง วนกันไปเวียนกันมาอย่างนี้จึงเชื่อกันว่านี่แหละเป็นของแท้พระไตรปิฎกเป็นของที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล
ในขณะที่สำนักมหาวิหารแต่งพระอภิธรรมตั้งเป็นพระไตรปิฎกแล้ว อีกสำนักใหญ่ของศรีลังกาในขณะนั้นคือสำนักอภัยคีรีวิหาร ก็ยังคงมีเฉพาะพระธรรมและพระวินัย หรือพระสูตรและพระวินัย ซึ่งสำนักนี้ถือว่าเป็นวัดป่าที่มุ่งเน้นการศึกษาพระพุทธศาสนาแบบไตรสิกขาดั้งเดิมคือปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อันเป็นการนับถือและปฏิบัติตรงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ความจริงกับความเชื่อเป็นอย่างนี้ และแม้ในส่วนของพระสูตรกับพระวินัยก็ตาม พระบรมศาสดาทรงคาดหมายได้มาแต่ต้นแล้วว่าสักวันหนึ่งอาจคลาดเคลื่อนแปรปรวนไป จึงประทานมาตรฐานวัดพระธรรมคำสอนของพระองค์ว่า เรื่องใดกรณีใดหากเป็นที่สงสัยว่าเป็นพระธรรมคำสอนแท้ของพระบรมศาสดาหรือไม่ ก็ให้ใช้หลักมาตรฐานวัดดังที่ตรัสแสดงไว้ในมหาประเทศ คือให้เปรียบเทียบกันดูว่ากับคำสอนอื่นๆ ของพระพุทธองค์นั้นเข้ากันได้ลงกันได้หรือไม่ และเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความดับ เพื่อความตรัสรู้และนิพพานหรือไม่
มาตรฐานเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าพระสูตรใด พระวินัยใด เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้ หรือว่าแต่งเติมเสริมแต่งเข้าไปในภายหลัง ซึ่งถ้าหากพิจารณาไตร่ตรองให้ดีโดยอาศัยหลักดังกล่าวนี้ก็จะเห็นสิ่งแปลกปลอมแฝงฝังอยู่ในพระสูตรและพระวินัยอีกไม่น้อย
ไม่ต้องอื่นไกล แม้ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้น ถ้าอ่านพิจารณาโดยใคร่ครวญแล้วไซร้ ก็จะเห็นว่าเป็นคำตรัสคำสอนที่เป็นเนื้อเดียวกัน มีพลานุภาพหนักแน่นลึกซึ้ง แต่ก็มีเรื่องประหลาดแทรกอยู่ ซึ่งผิดแผกแตกต่างไปจากที่ตรัสทั้งหมด นั่นคือเรื่องราวที่เทวดาและพระพรหมบนสวรรค์หลายชั้นต่อหลายชั้นที่เที่ยวแซ่ซ้องสาธุการโห่ร้องกันกึกก้อง ซึ่งเป็นเรื่องส่วนเกินและไม่เป็นสาระที่แทรกเข้ามาจนน่าเกลียด
ทำให้ความเชื่อมต่อของพระธรรมคำสอนและเรื่องราวในพระสูตรนี้ถูกขัดแข้งขัดขารบกวนด้วยเรื่องของเทวดาซึ่งมาแทรกเข้าไปในภายหลัง จนทำให้คนทั้งหลายขาดความสนใจในเรื่องสำคัญ หรือผลของการแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่าที่พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมนั้นคือเห็นธรรมอะไร
การถูกหลอกลวงยัดเยียดให้ศึกษาเล่าเรียนในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสสอนแล้วทำให้เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ตรัสสอน และขัดหรือแย้งกับคำตรัสโดยตรงโดยแท้ นี่แหละคืออุปสรรคในเนื้อตัวของพระพุทธศาสนาในบ้านเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี