ในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันครบรอบ 93 ปีของการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นองค์รัชกาลที่ 6ในราชวงศ์จักรี
ซึ่งคณะรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะร่วมพิธีรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และไว้อาลัยที่พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานครกันทุกปี
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงมีอัจฉริยภาพ และทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข วรรณกรรมและอักษรศาสตร์ และการต่างประเทศ
ด้วยพระปรีชาสามารถยิ่งดังกล่าว ทำให้ชาวไทยถวายพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”หลังเสด็จสวรรคต
นอกจากนั้นแล้ว ในปี พ.ศ. 2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม อันนำมาซึ่งชื่อเสียง เกียรติคุณต่อราชวงศ์ และปวงชนชาวไทย และเป็นความภูมิอกภูมิใจของชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของเราชาวไทย ทรงเป็นบุคคลที่โลกยกย่อง และผลงานของพระองค์นั้นมีความเป็นสากล แต่ยังมีอีกผลงานหนึ่งของพระองค์ท่านที่ยิ่งใหญ่ไม่หย่อนไปกว่าผลงานด้านวรรณกรรม หรืออาจจะยิ่งใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ โดยน่าเสียดายที่ชาวโลกหรือแม้กระทั่งชาวไทยเองยังมิได้รู้จักอย่างลึกซึ้ง
นั่นคือ เรื่องการดำรงเป็นพระมหากษัตริย์ของสยามประเทศที่เป็นเอกราช ที่มีสถานะทัดเทียมกับอารยประเทศอื่นๆ ในขณะนั้น พระองค์ทรงรักษาไว้ซึ่งเอกราชของสยามประเทศและเสริมสร้างชื่อเสียงเรียงนามอีกด้วย
ในวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น เป็นวันครบรอบ 100 ปี แห่งการสงบศึกยุติสงครามโลกครั้งที่ 1โดยมีการจัดพิธีใหญ่โตที่กรุงปารีส และประเทศไทยก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีนี้ โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนประเทศไทย
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสยามเรานับเป็นผู้ร่วมชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย ซึ่งต่อมา เราได้เป็นหนึ่งในการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นเพื่อเป็นกลไกที่จะป้องกันสงคราม และเสริมสร้างสันติภาพโลก
สถานะอันโดดเด่น ชื่อเสียงนามกระเดื่องของสยามที่กล่าวมานี้ ต่างเป็นผลงานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ได้ทรงตัดสินพระทัยให้สยามเข้าร่วมกับฝ่ายสหพันธมิตรต่อสู้กับฝ่ายอักษะ โดยการส่งกองกำลังทหารอาสาสมัครไปร่วมรบที่ยุโรปในฐานะประเทศเอกราช ประเทศที่มีสถานะศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับประเทศยุโรปและพันธมิตร
อื่นๆ ซึ่งเป็นการตัดสินใจของพระองค์ท่าน ด้วยวิสัยทัศน์ ด้วยการกำหนดใจตนเอง หามีผู้ใดมาบีบบังคับโน้มน้าวไม่ เป็นการตัดสินพระทัยด้วยพระสติปัญญา ด้วยศักดิ์ศรี
การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตัดสินพระทัยเข้าร่วมสงครามนั้นเป็นการตัดสินพระทัยที่เสี่ยงอยู่ แต่ถูกต้อง เพราะผลปรากฏว่าเป็นฝ่ายผู้ร่วมชนะสงคราม
การตัดสินพระทัยดังกล่าว รวมทั้งบทบาทอันกล้าหาญของทหารไทย ทั้งหน่วยทหารราบหน่วยราชการ หน่วยโยธา และหน่วยแพทย์-พยาบาล ได้ส่งผลให้ประเทศไทยมีชื่อเสียง มีเกียรติคุณ และช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการต่างประเทศ บนเวทีต่างประเทศในขณะนั้น
ผลลัพธ์สำคัญที่สุดคือ การที่ไทยสามารถปลดแอกจากเงื่อนไข และสิทธิพิเศษที่ฝ่ายประเทศตะวันตกได้ล้ำเข้ามาในอธิปไตยของไทยมาช้านาน หรือนัยหนึ่งก็คือความสามารถในการยกเลิกสิทธินอกอาณาเขตทั้งหลาย ซึ่งทำให้สยามเป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์
และผลนี้สะท้อนให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อแผ่นดินสยาม
แม้เรื่องนี้จะมีจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็จริงอยู่ แต่ก็ยังขาดซึ่งการศึกษา วิเคราะห์เชิงลึก และการเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ความรู้เหล่านี้ไม่ค่อยได้รับรู้โดยเยาวชนไทย หรือคนไทยโดยทั่วไป
ครบรอบ 93 ปี ของการเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านจึงเป็นอีกโอกาสหนึ่ง ที่จะได้นำมาเผยแพร่แก่สาธารณชนไทย เพื่อมิให้โลกลืมเลือนบทบาทของรัชกาลที่ 6 ที่ส่งผลให้สถานะบนเวทีโลกของสยามประเทศกลับมามีความมั่นคงซึ่งก็หวังว่าผู้ที่รับผิดชอบต่างๆ จะซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณ และรีบดำเนินการเผยแพร่เรื่องราวกันต่อๆ ไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นการถวายงานตอบแทนพระองค์ท่าน และราชวงศ์จักรี
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี