ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดช่วงเวลาการย้ายพรรคของเหล่าผู้สมัครและอดีต สส. ในวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา ตามกำหนดเวลา 90 วัน ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง แม้จะมีกระแสว่าจะเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นกำหนดเวลาที่น่าจะมั่นใจได้ว่ามีสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นเป้าหมายหลักของพรรคการเมืองใหม่ที่หวังจะดูด สส. เพราะถือเป็นแท็งก์ใหญ่ที่เก็บ สส. ไว้เป็นจำนวนมาก และเป็นกลุ่มสส.ที่มีพื้นที่ของตัวเองอย่างชัดเจน และมีคะแนนนิยมที่ติดตัวเหล่า สส. อยู่ทั้งสองพรรค แต่การไหลออกของสส. ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ก็ยังมีจุดต่างกันอยู่ โดยสส. เพื่อไทยส่วนใหญ่ไหลจากพรรคเพื่อไทยไปพรรคสาขาของตัวเอง จะด้วยเหตุความขัดแย้งภายใน การป้องกันปัญหายุบพรรค หรือการกระจายกันเพื่อให้ได้ที่นั่งตามระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ก็ตาม ในขณะที่บางส่วนก็มีไหลไปประชารัฐ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ไปด้วยอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งจะกล่าวในลำดับต่อไป ในขณะที่การไหลออกของบรรดาอดีตสส. และผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์เกือบจะทั้งหมดไหลไปอยู่พลังประชารัฐ เหตุผลและวิถีของคนประชาธิปัตย์และคนเพื่อไทยไปประชารัฐก็ยังมีความต่างกันอยู่มาก
พรรคพลังประชารัฐ ถูกตั้งขึ้นด้วยความคาดหวังจะจัดตั้งรัฐบาล โดยมุ่งเป้าไปที่ที่นั่งในสภาโดยเมื่อดูตามตัวบทกฎหมายแล้วจะเห็นได้ว่าจำนวนที่นั่งในสภาขั้นต่ำที่ต้องการคือ 376 ที่นั่ง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลและเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี หากนับ 250 สว. ที่เชื่อได้ว่าอาจอยู่ในมือแล้ว? จะขาดที่นั่ง สส. อีกไม่มากที่ต้องการเพื่อเป็นหลักประกัน โดยวิธีการที่ง่ายที่สุด ในอดีตสำหรับหลายพรรคที่คาดหวังจะตั้งพรรคและได้เป็นรัฐบาลเลย ก็มักจะใช้วิธีการดูดบรรดาอดีต สส.จากทุกค่ายทุกสังกัดเข้ามาร่วมโดยอาจไม่ได้สนใจในเรื่องของอุดมการณ์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม จะเห็นตัวเลขที่พรรคพลังประชารัฐประกาศว่าเป็นเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 150 ที่นั่ง สส. จึงนำมาซึ่งการรวมตัวของมืออาชีพทางการเมือง หรือนักเลือกตั้งย้ายพรรค ที่แต่ละคนผ่านมาไม่ต่ำกว่า 2-3 พรรค หรือมากกว่านั้น โดยพบว่ามีแกนนำสำคัญในรัฐบาล คสช. มาเป็นผู้บริหารระดับบนสุดของพรรค ซึ่งในระยะแรกมืออาชีพทางการเมืองที่ดึงเข้ามา มีเพียงไม่กี่คนแต่มาจากหลายพรรค หลายกลุ่มทั้งกลุ่มมูลนิธิสัมมาชีพ กลุ่มบ้านริมน้ำ กลุ่มมัชฌิมา กลุ่มวังน้ำยม?ก่อนจะแยกกันไปเดินสายแล้วกลับมารวมตัวกันอีกทีเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี้ แล้วเปิดไพ่พร้อมกันแบบม้วนเดียวจบ ที่น่าสนใจคือมีทั้ง กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งในเมืองและนอกเมือง ทั้งพื้นที่สีแดงและสีฟ้า และเหมือนเป็นโดมิโน ที่ยิ่งเปิดยิ่งไหลเข้า จนถ้านับหัวอดีต สส. ตอนนี้อาจจะเกินความต้องการไปแล้วด้วยซ้ำหรือไม่? อะไรเป็นปัจจัยให้นักเลือกตั้งเหล่านี้หลั่งไหลเข้ามาในพรรคประชารัฐทั้งรอบแรกและรอบหลัง?
จากตัวเลขการคาดการณ์ และรายชื่อที่ปรากฏ จะมีจำนวนคนดังและแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งสิ้นประมาณ 180 คน โดยแบ่งเป็นอดีตสส. กว่า 107 คน ที่มาจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยกว่า 57 คน จากพรรคประชาธิปัตย์ 17 คน และพรรคอื่นๆ
รวมกัน 33 คน นอกจากนั้นยังพบว่ามีแกนนำ นปช. แกนนำ กปปส. รวมกันไม่ต่ำกว่า 15 คน และผู้มีชื่อเสียงในหลายแวดวงตั้งแต่การเมืองท้องถิ่นที่มาจากทุกสีเสื้อ นักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ และนักวิชาการอีกไม่ต่ำกว่า 50 คน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแกนนำแต่ละสายที่เป็นตัวตั้งต้น
ที่ผ่านมานายซื่อตรงรักเมืองไทยได้ตั้งข้อสังเกตว่า พลังของการดูดมาจากอะไรบ้าง? โดยหลายกระแสก็บอกว่าเป็นการดูดด้วยตัวเงิน และบางกระแสก็บอกว่าเป็นการดูดด้วยเหตุผลทางคดี? ซึ่งจำแนกออกมาได้หลายกลุ่มกลุ่มที่หนึ่งคือกลุ่มที่เข้าพรรคด้วยเรื่องของคดีภายในตระกูล ที่หลายคนถึงกับออกปากยอมรับว่าทำเพื่อพ่อจริงๆ ทั้งกลุ่มแกนนำพลังชลทั้งพี่และน้องที่เข้าไปกินตำแหน่งในรัฐบาลในช่วงปีที่ผ่านมา และมีกระแสข่าวบางประการว่ามีการชะลอคดีดังกล่าวออกไป? รวมถึงบางเรื่องที่หนักก็กลายเป็นเบาลงหรือไม่? อย่างกำนันดังกาญจนบุรี ก็ไม่ต่างกันที่มีกระแสข่าวว่ามีการยื่นข้อเสนอผ่านภรรยากำนัน ว่าให้บุตรชายทั้งสองตัดสินใจทำเพื่อพ่อ จะได้กลับมารักษาตัวระหว่างรับโทษในประเทศไทย รวมถึงล่าสุดบุตรชายนายบุญทรง อดีตรมว.พาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่กำลังโดนจำคุกในคดีการทุจริตขายข้าวแบบจีทูจี โดยบุตรชายนายบุญทรงกล่าวทั้งน้ำตาว่า “การที่คุณพ่อเป็นอยู่ทุกวันนี้ คงไม่ต้องตอบก็ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เราต้องการความช่วยเหลือ ดันมาขี่ซ้ำ ผมก็ถามพ่อว่าเราจะเอาอย่างไรกันดี พ่อให้ที่เหลือจากนี้เป็นการตัดสินใจของผมล้วนๆ ท่านบอกว่าชีวิตการเมืองของท่านจบไปแล้ว ต่อไปให้เป็นเรื่องของลูกตัดสินใจเอง” นัยสำคัญอยู่ที่การถูกจำคุกของนายบุญทรงเกิดขึ้นตามคำสั่งให้ดำเนินการของใคร? และการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างนายบุญทรงไม่ได้ดีอย่างที่ครอบครัวคาดหวังหรือไม่? จากคำพูดดังกล่าวฟังแล้วคิดต่อได้ว่าอาจะมีการลอยแพจากทางต้นสังกัดเกิดขึ้นหรือไม่? เข้าตำราเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล ซึ่งทำให้บุตรชายนายบุญทรงต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็นกับแกนอำนาจใหม่อย่างพลังประชารัฐ ที่เรียกได้ว่าเดินไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามเลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีกรณีของมาดามเดียร์ อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชายชุดอายุ 23 ปี ที่เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งดูเผินๆ แล้วก็อาจมองได้ว่าเป็นเพียงการผลัดเปลี่ยนและเข้าสู่วงการการเมืองตามปกติ แต่ก็มีกระแสว่าการเปิดตัวลงสู่สนามเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐมีนัยทางการเมืองที่มากกว่าการเปิดตัวหรือไม่? เพราะเบื้องหลังมีคนตั้งข้อสังเกตกรณีคดีติดตัวคนใกล้ชิดที่เข้าไปพัวพันกับการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่? ที่ยังอยู่ในช่วงการดำเนินคดี โดยอยู่ในชั้นของการรวบรวมหลักฐานเพื่อสั่งฟ้อง ซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีกว่า 3 คดี เป็นคดีที่มีการพิจารณาเปรียบเทียบปรับแล้ว 1 คดี และเป็นคดีที่ยังอยู่ในชั้นของการรวบรวมหลักฐานเพื่อรอส่งฟ้องอีก 2 คดี ใช่หรือไม่? ซึ่งการก้าวเข้าสู่การเมืองของมาดามในครั้งนี้ในนามของพรรคพลังประชารัฐจะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป? นอกจากนั้นแล้วการจงใจดึงตัวมาดามเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ อาจมีเหตุผลทางวงการสื่อมวลชนด้วยหรือไม่? ธุรกิจในมือด้านสื่อกำลังขยายตัว โดยมีสื่อสำนักต่างๆ ที่อยู่ในมือกว่า 10 สำนัก เพราะคนที่อยู่ในบ้าน อันเป็นเบื้องหลังของมาดาม คือเจ้าพ่อวงการสื่อที่ตอนนี้คุมสื่อประเภทสำนักข่าวดิจิทัลกว่า 3 ช่องใหญ่ และสื่อสิ่งพิมพ์อีกหลายเล่ม จากการเข้าซื้อหุ้นต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และทั้งหมดคือสำนักข่าวและช่องสื่อการเมืองแทบทั้งนั้น ซึ่งก็น่าแปลกเพราะใครๆก็รู้ว่าธุรกิจสื่อสารมวลชนโดยเฉพาะสื่อดิจิทัล ประสบภาวะขาดทุนมากกว่ากำไร แต่ตอนนี้อาจเป็นเครื่องมือสำคัญในช่วงเลือกตั้งหากใครถือครองสื่ออยู่ ซึ่งในช่วงสมัยระบอบทักษิณก็เหมือนจะมีอะไรแบบนี้อยู่
การปรับเปลี่ยนท่าทีและวิถีที่ถูกมองว่าการสร้างพรรคพลังประชารัฐ มาจากการดูดอดีตสส. เป็นหลักเพื่อเพิ่มที่นั่งในสภาให้เพียงพอต่อการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ยังไม่แสดงให้ประชาชนเห็นว่าพรรคเองมีมิติเชิงอุดมการณ์ใดเลย นอกจากการหาช่องต่อยอดรัฐบาล และที่มาของการดูดที่ถูกวิจารณ์ว่าดูดด้วยปัจจัยฯหรือคดีความ? ที่ไม่ได้สนใจเรื่องที่มาสังกัดใดๆ ของอดีต สส. แต่ทั้งสิ้นจะโทษเพียงพรรคอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอดีตสส. นักเลือกตั้งย้ายพรรคเองก็ต้องถามอุดมการณ์ด้วยว่าเป็นเช่นไร
ในโลกมีบุคคลสองชนิด
ชนิดที่หนึ่งไม่ได้มีชีวิตเพื่อการอยู่รอด หากแต่อยู่เพื่อเผาผลาญทำลาย
อีกชนิดหนึ่งกลับได้แต่เบิ่งตาดูผู้อื่นเผาผลาญ อาศัยแสงสว่างของผู้อื่นสาดส่องตัวเอง
โกวเล้ง จากซาเสี่ยวเอี้ย เล่ม 3
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี