ตำแหน่งประธานประชาคมอาเซียนนั้น ถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษของประเทศสมาชิก โดยปี 2561 นั้นเป็นคิวของประเทศสิงคโปร์ (Singapore) ซึ่งปีหน้าก็จะถึงวาระของประเทศไทย (Thailand) โดยพิธีส่งต่อรับมอบ ได้เพิ่งถูกจัดขึ้นที่สิงคโปร์ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ในพิธีการรับมอบการเป็นประธานประชาคมอาเซียนของไทยในปี 2562 นั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ก็ใช้โอกาสระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ ในการแสดงวิสัยทัศน์ ว่าไทยเราจะนำพาประชาคมอาเซียนไปตลอดปี 2562 กันอย่างไรบ้าง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้วลีว่า ในปี 2562 นี้ ประชาคมอาเซียนจะต้อง “Advancing Partnership for Sustainability” แปลเป็นไทยว่า “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล และยั่งยืน” ซึ่งก็เป็นการเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนผนึกกำลังกัน และในขณะเดียวกันก็ต้องร่วมกันกระชับความสัมพันธ์กับนานาประเทศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าร่วมกันแบบยั่งยืน
นอกจากนั้น พลเอกประยุทธ์ ยังเห็นว่าประชาคมอาเซียนจะต้องสร้างความโดดเด่น เป็นเลิศด้วยการมีตรา มียี่ห้อเฉพาะ (Brand Name) ซึ่งการดำเนินการใดๆ ก็ต้องมีความเป็นเอกภาพ ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ และมีความเคารพซึ่งกันและกัน และการตระหนักในผลประโยชน์ร่วมกัน
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องหลักการในการนำพา และร่วมมือกัน
นอกจากนั้นแล้ว พลเอกประยุทธ์ ยังได้พูดถึงแผนการร่วมมือที่จะจับต้องได้ 2 เรื่องสำคัญคือ 1.การพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายการร่วมมือ ว่าด้วยเมืองชาญฉลาด (Smart Cities) และ 2.การใช้ประโยชน์จากระบบดิจิทัล (การรับส่งข้อมูลเชิงตัวเลข) ให้กว้างขวางในการเป็นสังคมสมัยใหม่
ซึ่งวิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่พลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวมานั้นดูจะมีความต่อเนื่องกับการเป็นประธานประชาคมอาเซียนของสิงคโปร์ในปี 2561 ที่เขาได้ใช้คำว่า Resilience (การอึด ยืดหยุ่น ยืนหยัด ในการช่วยตัวเอง) Innovation (การประดิษฐ์คิดค้นใหม่) และ Integration (การบูรณาการ)
ฟังเพลินๆ แล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่า ภายใต้การนำพาของไทยโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ประชาคมอาเซียนจะขะมักเขม้นในการร่วมมือกันอย่างแข็งขัน จริงจัง และจริงใจ
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว วิสัยทัศน์ หรือคำสวยหรูต่างๆ จำเป็นต้องนำไปโยงกับสภาพความเป็นจริง และสิ่งท้าทายต่างๆ ด้วย และเมื่อโยงกันแล้ว ก็จะต้องมีขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการที่ชัดเจน ที่สำคัญจะต้องจับต้องได้ด้วย เช่น ในเรื่อง Smart Cities เมืองชาญฉลาดนั้น จะเกิดขึ้นได้จริง ก็จะต้องเริ่มต้นด้วยการส่งเสริมการใช้ระบบสารสนเทศดิจิทัล
ประเด็นก็คือ ไทยเราเองในฐานะประธานประชาคมอาเซียนจะเริ่มต้นจากตรงไหน ตั้งแต่จัดบุคลากร เครื่องมือเครื่องใช้ ไปจนถึงการวางแผนและมาตรการ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน อย่าลืมว่า ในปัจจุบัน ประชาคมอาเซียนนั้นมีปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญเร่งด่วนอยู่ไม่น้อย อาทิเรื่อง ชาวพม่าโรฮีนจาผู้ถูกกดขี่ขับไล่ เรื่องแรงงานต่างด้าว เรื่องการค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ เรื่องความสะดวกรวดเร็วในการข้ามแดน เรื่องการเชื่อมโยงทางการคมนาคม เรื่องการส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนในความเป็นไปของอาเซียน เรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพ เรื่องความเหลื่อมล้ำภายในแต่ละประเทศสมาชิกสมาชิก และระหว่างสมาชิกประชาคมอาเซียนด้วยกัน เรื่องการรุกรานของจีนในทะเลจีนตอนใต้ เป็นต้น
ซึ่งเรื่องทั้งหมดดังกล่าวนั้นเกี่ยวกับ “คน” และเมื่อประชาคมอาเซียนเป็นของ “คนอาเซียน” แต่ขาดความเข้มแข็ง และขาดโอกาสในการแสดงความเป็นเจ้าของร่วม ก็ทำให้การประกาศว่าอาเซียนเป็นของคน และคนเป็นที่ตั้งนั้นขาดความจริง เสมือนเป็นการหลอกลวง ก็เป็นเรื่องของไทยในฐานะประธาน จะต้องพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ติดกับคำพูดสวยหรู ไม่ไปสาละวนกับเรื่องที่ยังห่างไกลและเรื่องที่ต้องใช้เวลาดำเนินการยาวนาน
หามิเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประชาคมอาเซียน ก็คงไม่สามารถนำพาให้ประชาคมอาเซียนหลุดพ้นจากภาพลักษณ์ที่ว่า ประชาคมอาเซียนเป็นเพียงเวทีของการพูดจาเท่านั้น (Talk Shops) และบทบาทกระจุกตัวอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการ และไม่เป็นของชาวอาเซียนอย่างแท้จริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี