น้องๆ ที่รณรงค์เลิกสูบบุหรี่ส่งบทความมาให้ผม น่าสนใจครับว่า
คนไทยกว่า 5 หมื่นราย เสียชีวิตด้วยโรคจากบุหรี่
คนสูบบุหรี่อายุสั้นลง 12-13 ปี และทรมานอย่างน้อย 2 ปีก่อนเสียชีวิต
บุหรี่ เป็นตัวการทำให้ก่อเกิดโรคไม่ติดต่อ ไม่ว่าจะเป็น มะเร็ง ปอดอุดกั้น โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดตีบตัน เนื่องมาจากสารเคมีในบุหรี่กว่า 4,000 ชนิด โดยเฉพาะนิโคติน ทาร์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ แอมโมเนีย ไซยาไนด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ สารปรุงแต่ง ซึ่งสารเคมีแต่ละชนิดมีผลกระทบ เช่น เข้าไปจับที่เยื่อบุปอด ปิดกั้นการลำเลียงออกซิเจน ทำให้ระคายเคือง
องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 ของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบเป็นผลจากการสูบบุหรี่
เมื่อสูบบุหรี่สารเคมีนับร้อยชนิดในบุหรี่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ที่ทำให้เกิดการอักเสบและการแข็งตัวของเส้นเลือด เกล็ดเลือดจะเกาะตัวกันง่ายขึ้น ทำให้ไขมันชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้น และไขมันชนิดดีลดลง และทำให้ความหนืดของเลือดเพิ่มมากขึ้น ยังมีตัวการสำคัญคือ คาร์บอนมอนอกไซด์ ที่เข้าไปขัดขวางการลำเลียงของออกซิเจน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงแบบไม่รู้ตัวนี้นำไปสู่ภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดทั้งสิ้น
พูดได้ว่าการสูบบุหรี่เป็นตัวการที่เร่งความเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งทำให้เกิดโรคในหลายระบบทั้ง เส้นเลือดสมองตีบ-แตก
หลอดเลือดใหญ่ในทรวงอกโป่ง หลอดเลือดในช่องท้องแข็งตัว เส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้หัวใจวายกะทันหัน เส้นเลือดส่วนปลายแข็งและตีบตันสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
กล่าวโดยรวมคือ การสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดที่ไหลไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายเกิดความผิดปกติ ตีบตัน โป่ง แตก ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยๆ จากกลุ่มหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ คือ หัวใจวายกะทันหัน การเจ็บหน้าอกเพราะเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โรคของเส้นเลือดส่วนปลาย เช่น ในท้อง แขน ขา ซึ่งทุกความผิดปกตินี้สามารถนำไปสู่การเสียชีวิต หรือ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้แทบทั้งสิ้น
การสูบบุหรี่ 1-5 มวนต่อวัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน อย่างน้อย 1.5 เท่า
ไม่ใช่แค่คนสูบบุหรี่เท่านั้น ที่ต้องเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง คนใกล้ชิด หรือ คนที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง ก็เป็นกลุ่มคนที่ต้องรับความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เช่นเดียวกัน ผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง จากทั้งที่ทำงานหรือที่บ้าน จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจอยู่ร้อยละ 25-30 และการได้รับควันบุหรี่มือสอง ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองขาดเลือดร้อยละ 20-30
นอกจากบุหรี่ชนิดมวน ปัจจุบันคนหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และยังมีการถกเถียงถึงเรื่องความปลอดภัยของบุหรี่ชนิดดังกล่าว ซึ่ง บุหรี่ไฟฟ้า เป็นรูปแบบการใช้นิโคตินที่แพร่หลายที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลาย โดยพบว่าอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากปี 2554 อยู่ที่ 1.5% เพิ่มขึ้นในปี 2558 เป็น 16% ซึ่งเยาวชนสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่ธรรมดา และ 3 ใน 4 ของผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีการสูบบุหรี่ธรรมดาร่วมด้วยทำให้ได้รับระดับนิโคตินสูงมาก และยิ่งเสี่ยงโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดสมอง หัวใจ เพิ่มขึ้นอีก
ความเสี่ยงเกิดโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ สามารถป้องกันได้ด้วยการ “หยุด” และ “เลิก” สูบบุหรี่ตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้ โดยสามารถขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำในการเลิกบุหรี่ได้ที่ สายด่วนเลิกบุหรี่ โทร.1600
เราเชื่อว่าทุกคนทำได้ และขอเป็นกำลังใจให้เสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี