เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เกิดข่าวอื้อฉาวในวงการธุรกิจโลกขึ้น เมื่อนายคาร์ลอส กอส์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มพันธมิตร เรโนลด์-นิสสัน กลุ่มยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกจับกุมทันทีหลังจากเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ด้วยข้อหาความผิดทางการเงิน สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้บริหารและพนักงานในเครือบริษัทอย่างมาก
จากการเปิดเผยของคณะกรรมการบริหารกลุ่มพันธมิตรบริษัทนี้ นายคาร์ลอส ได้กระทำผิดทางการเงินอย่างรุนแรงถึง 3 กรณี ได้แก่ การรายงานรายรับและผลประโยชน์ที่ได้รับจากกลุ่มบริษัทคลาดเคลื่อนติดต่อกันนานหลายปี การนำเงินลงทุนของกลุ่มบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว และการรายงานการใช้จ่ายที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งทั้งสามกรณี นำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรงต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น และหากไม่เข้าจับกุมในวันนั้น นายคาร์ลอสก็จะเดินทางไปประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลุ่มพันธมิตร ที่จะมีการตัดสินใจครั้งสำคัญขนาดที่อาจส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของกลุ่มพันธมิตรนี้ได้เลยทีเดียว
ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามการสืบสวนสอบสวนกันต่อไป แต่บทเรียนสำคัญของกรณีนี้คือการจับกุมผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อความอยู่รอดของบริษัทเช่นนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากกลุ่มพันธมิตรนี้ไม่ได้วางโครงสร้างธรรมาภิบาลไว้อย่างเข้มแข็งและเป็นอิสระจากผู้บริหาร ซึ่งในกรณีนี้ปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ การมีระบบรับฟังข้อร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ภายในบริษัท เพราะข้อมูลต้นเรื่องนี้ก็มาจากพนักงานคนหนึ่งในบริษัท และการมีคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนภายในซึ่งเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ที่นำข้อมูลจากพนักงานนั้นมาสืบสวนสอบสวนต่อ
กลับมามองที่ประเทศไทย โครงสร้างและกลไกเช่นนี้มีให้เห็นไม่มากนักในทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน โดยเหตุผลที่ผู้บริหารยกมาอ้างมักคล้ายกันคือ ไม่มีเวลารับฟังพนักงานทั้งหมดเอาเวลาไปทำงานดีกว่า บริษัทมีเป้าหมายอยู่แล้วจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ได้ หรือถ้าเปิดรับฟังก็จะมีคนมากลั่นแกล้งกันวุ่นวายแน่ๆ หากจะพอมีกลไกรับฟังความคิดเห็นหรือข้อร้องเรียนบ้าง ก็มักจะเป็นบริษัทเอกชนในภาคบริการ ที่เปิดรับฟังเสียงจากลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการเท่านั้น แต่ถ้าพนักงานจะนำเสนออะไรก็ไปรอต่อคิวขอนัดเมื่อผู้บริหารสะดวกเอาแล้วกัน นั่นทำให้องค์กรจำนวนมากในไทยขาดธรรมาภิบาล ไม่สามารถป้องกันเหตุอันตรายที่ไม่คาดคิดอย่างที่นำเสนอมาข้างบนได้
จุดเสี่ยงนี้จึงเป็นประเด็นที่สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นหลักเกณฑ์หนึ่งใน โครงการการสร้างแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต หรือเรียกสั้นๆ ว่า CAC ซึ่งย่อมาจากคำว่า Collective Action Coalition against corruption ว่าบริษัทที่ได้รับการรับรองจะต้องมีการจัดช่องทางร้องเรียนสำหรับพนักงานโดยตรง และมีการสร้างความเข้าใจเรื่องธรรมาภิบาลให้กับพนักงานด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทเอกชนที่แสดงเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC นี้แล้วถึง 934 บริษัท และได้รับการรับรองแล้ว 345บริษัท
สำหรับข้ออ้างของผู้บริหารที่ยังไม่เห็นความสำคัญของการสร้างธรรมาภิบาลในองค์กรว่า ไม่มีเวลารับฟังความเห็นจำนวนมาก ปรับเป้าหมายองค์กรไม่ได้ หรือกลัวการกลั่นแกล้งนั้น สามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุน ซึ่งพิสูจน์แล้วจากการใช้จริงในหลายองค์กรว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งโดยมีต้นทุนที่ต่ำมาก เช่น การใช้ระบบประมวลผลรวบรวม คัดกรอง จัดหมวดหมู่ และนำเสนอผลความเห็นและข้อร้องเรียนของพนักงานนั้น สามารถสรุปมาให้ผู้บริหารพิจารณาโดยสะดวกรวดเร็ว สามารถนำไปป้องกันความเสี่ยงและสนับสนุนแนวทางการบริหาร โดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายขององค์กรแต่อย่างใดและประเด็นสำคัญคือการกลั่นแกล้งที่จะลดลงกว่าที่ไม่มีระบบเสียอีก เนื่องจากเมื่อมีกลไกที่สะดวกสำหรับพนักงานแล้ว จะทำให้มีข้อมูลจริงถูกส่งต่อเป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ระบบยังสามารถตั้งค่าป้องกันการส่งความเห็นซ้ำๆกันจากคนเดิมได้อีกด้วย ข้ออ้างซึ่งมาจากความกังวลต่างๆเหล่านี้ของผู้บริหารจึงหมดไป
ผลจากการใช้งานจริงของระบบนี้ในโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ (Bangkok Prep) สนับสนุนว่าการเปิดรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายขององค์กร ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และเจ้าหน้าที่ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กรอย่างยิ่ง ทั้งในด้านการตัดสินใจของผู้บริหาร และ ความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีต้นทุนที่ต่ำและไม่เพิ่มภาระให้กับองค์กร และที่สำคัญคือความกังวลว่าจะมีแต่เสียงบ่นก็ไม่เป็นจริง ความเห็นส่วนใหญ่ที่ได้รับมา กลับกลายเป็นเสียงชื่นชมและความเห็นสร้างสรรค์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เป็นการสร้างกำลังใจให้กับคนทำงานเสียอีก
นอกจากนี้ ระบบการเปิดรับฟังความเห็นและข้อร้องเรียนนี้ หากสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรใดๆที่นำไปใช้ ก็จะมีผลทำให้ความเห็นและข้อร้องเรียนจากพนักงานและลูกค้าขององค์กรนั้นๆ สามารถสะท้อนความเป็นจริงและมีสร้างความยุติธรรมมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น พนักงานจะร้องเรียนว่าหัวหน้าใช้งบประมาณผิดประเภท แต่เมื่อเขียนรายการใช้จ่ายนั้นไปแล้ว ระบบแจ้งข้อมูลว่าการใช้จ่ายนี้ได้รับการอนุมัติเปลี่ยนแปลงประเภทงบประมาณไปแล้วพร้อมเอกสารยืนยัน จึงไม่จำเป็นต้องร้องเรียน หรือสงสัยว่าเพื่อนร่วมงานฝ่ายจัดซื้อรับสินบนจากบริษัทขายสินค้า ระบบสามารถตรวจสอบได้ว่าทุกครั้งที่พนักงานคนนี้จัดซื้อ ได้เป็นบริษัทเดิมเกือบทุกครั้ง จึงมีความเป็นไปได้สูง เมื่อร้องเรียนไป ฝ่ายตรวจสอบก็ทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นหนังโลกอนาคต แต่จริงๆ แล้วเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถทำให้ระบบเช่นนี้เป็นไปได้จริงแล้ว โดยพัฒนาภายใต้ความร่วมมือกันของวิสาหกิจเพื่อสังคมด้านเทคโนโลยีอย่าง Opendream และด้านธรรมาภิบาลอย่าง HAND ความท้าทายในการสร้างธรรมาภิบาลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาขององค์กรและประเทศจึงไม่ได้อยู่ที่องค์ความรู้หรือเทคโนโลยี แต่อยู่กับผู้บริหารองค์กรต่างๆ ว่าจะเล็งเห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการมีธรรมาภิบาล และพร้อมจะลงมือทำเพื่อความยั่งยืนขององค์กรแล้วหรือยัง
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี