วันพรุ่งนี้แล้ว (7 ธันวาคม) ที่มีการประชุมชี้แจงแผนและขั้นตอนการดำเนินการเมืองเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ที่สโมสรทหารบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.เป็นประธาน พร้อมเชิญ สมาชิก คสช., สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), คณะรัฐมนตรี (ครม.), คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวมถึงผู้แทนพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุม โดยทางคสช.แจ้งว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนพรรคการเมืองได้เสนอปัญหา ความคิดเห็น และข้อเสนอเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามก็มีการประกาศชัดเจนจากพรรคการเมืองต่างๆแล้วว่าพรรคใดบ้างที่จะเข้าร่วมหารือ และบางพรรคที่ประกาศชัดว่าจะไม่เข้าร่วมในการหารือในครั้งนี้อย่างพรรคอนาคตใหม่ และ ไทยรักษาชาติ ทั้งนี้ การที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ตอบรับเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้นั้น เพียงเพื่อต้องการความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งและการปลดล็อกที่ให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมได้ รวมถึงการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในเรื่องขั้นตอนต่างๆ ของการเลือกตั้งและวันเลือกตั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทั้งพรรคการเมืองและประชาชนที่ต่างรอคอยการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิด ว่าจะไม่มีเหตุให้ต้องเลื่อนอีกครั้ง? และจะไม่มีกติกาใดที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเงื่อนไขให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขันครั้งนี้
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา คสช.มีการเลื่อนโรดแมปเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง ทั้งด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองและเหตุผลเทคนิคทางกฎหมาย โดยครั้งแรกประกาศจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นปลายปี 2558 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะ สปช.มีมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ ครั้งที่สองกลางปี 2560 เหตุที่ทำให้ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยกำหนดไว้ในมาตรา 267 ว่า กรธ.จะต้องร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับให้เสร็จภายใน 8 เดือน นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ จึงเป็นเหตุให้สามารถเลื่อนกรอบเวลาออกไปได้จนถึงปลายปี 2560 แต่แล้วการเลือกตั้งก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในช่วงปลายปี 2560 อีก เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ดังนั้นตามโรดแมปใหม่นี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะผ่านร่างกฎหมายลูกครบ 10 ฉบับภายในเดือนมกราคม 2561 และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 จนมาถึงครั้งล่าสุดที่ คสช.ก็ยังประกาศการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นถัดไปอีกนิดหน่อยคือเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งก็ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจนและยังไม่แน่นอนจะเลื่อนออกไปอีกหรือไม่? เพราะไม่นานมานี้บุคคลสำคัญระดับรองนายกฯเคยกล่าวถึงช่วงการเลือกตั้งว่าสามารถเกิดขึ้นได้ถึงช่วงพฤษภาคม 2562 อย่างไรก็ตามนายกฯก็ยังยืนยันว่าจะเลือกตั้งในกุมภาพันธ์ 2562 เช่นเดิม ซึ่งนับเวลาแล้วก็เหลือเพียง 80 วันก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง
แม้จะเหลืออีกเพียง 80 วัน ก็ยังไม่มีทีท่าที่จะปลดล็อกพรรคการเมืองให้เข้าสู่โหมดปกติก่อนมีคำสั่งคสช. และมีข่าวทำนองว่าอาจจะปลดล็อกหลังวันที่ 7 หรือ 11 ธันวาคมนี้ โดยแม้ที่ผ่านมา คสช.จะมีการประกาศคลายล็อกเพียงบางส่วนเท่านั้น และยังถูกบีบด้วยกติการอบด้านจากคำสั่งคสช. กกต. และรัฐ ที่แตกต่างจากการเลือกตั้งทุกครั้ง อาทิ เงื่อนไขในการประชาสัมพันธ์และการหาเสียงที่ยังคลุมเครือ ในขณะที่ดูจะมีความไม่เป็นธรรมระหว่างพรรคใหม่กับพรรคเก่า โดยขณะที่พรรคการเมืองเก่าไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ ในขณะที่พรรคเกิดใหม่กลับสามารถทำกิจกรรมและเดินสายไปตามจังหวัดต่างๆ ได้อย่างที่เห็นได้อยู่ตามข่าว?
อีกสิ่งหนึ่งที่อาจเป็นเหตุผลที่หลายพรรคการเมืองไม่อยากเข้าร่วมประชุม แม้ คสช.จะกล่าวอ้างว่าให้พรรคการเมืองสามารถเสนอความคิดเห็นได้ แต่ตอนนี้คงยากที่จะมีใครเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ คสช.ไม่เคยแสดงความจริงใจในการรับฟังข้อคิดเห็นอันเป็นปมปัญหาอย่างแท้จริงมาโดยตลอด ตั้งแต่การเซทซีโร่สมาชิกพรรค การบังคับเก็บเงินค่าบำรุงพรรคจากสมาชิก ตลอดจนเงื่อนไขในการบริหารจัดการภายในพรรคการเมืองตามกรอบกฎหมายใหม่ที่อาจทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง ข้อท้วงติงต่างๆ ไม่เคยได้รับฟัง จนล่าสุดข้อท้วงติงเรื่องการแบ่งเขตการเลือกตั้งแบบใหม่ที่ไม่เป็นธรรมสาเหตุจากข้อน่าสงสัย กรณีกกต.เลื่อนการประกาศเขตเลือกตั้งออกไปประมาณ 2 สัปดาห์อ้างว่าทำไม่ทัน ขณะที่มีข่าวหลุดลอดออกมามากมายถึงกรณีการเปลี่ยนการจัดการแบ่งเขตในหลายจังหวัดที่มีจำนวนสส.ไม่เปลี่ยนแปลง และประชากรก็มีผลการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมากแต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ จึงทำให้เกิดข้อร้องเรียนไปที่ กกต. แต่แล้วเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีการประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้ง สส. 350 เขต ใน 77 จังหวัดที่ผ่านมา ก็เป็นจริงอย่างที่ข่าวเผยแพร่ไว้ก่อนหน้า จนทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงกรณีการแบ่งเขตอย่างไม่เป็นธรรมในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัดนครราชสีมา สุโขทัย และกาญจนบุรี ที่การแบ่ง เฉือนอำเภอ
โดยมีปัจจัยเรื่องพื้นที่และผู้สมัครเข้ามาพิจารณาเรื่องความน่าจะเป็น ในการแพ้-ชนะการเลือกตั้ง จนทำให้เกิดความสงสัยเรื่องการแบ่งเขต ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เรื่องนี้แต่ต้น
โดยเริ่มหลังจากที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจ ม.44 ออกคำสั่งให้ กกต.มีอำนาจเปลี่ยนแปลงการแบ่งเขตเลือกตั้ง? และขยายเวลาการแบ่งเขตออกไป ต่อมาพบคำกล่าวของแกนนำพรรคการเมืองบางพรรค“การเลือกตั้งครั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา เราจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆเหล่านี้ เป้าหมายทุกคะแนนมีความสำคัญฉะนั้นตัวบุคคลในแต่ละเขตแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนให้ได้ เพราะทุกคะแนนมีความสำคัญมาก” จนต่อมากกต.ก็แบ่งเขตเปลี่ยนไปก็ไม่รู้ว่าสอดคล้องกับคำพูดดังกล่าวหรือไม่? ก่อให้เกิดความสงสัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคใดหรือไม่? พรรคใดที่ได้ประโยชน์?
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดการบริหารงานของรัฐบาลคสช. ก็ได้มีการวางกติกาต่างๆที่ทำให้คิดได้ว่าเป็นการวางแผนเพื่อจะกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกครั้งของรัฐบาลคสช.หลังการเลือกตั้ง
ปี 2562 ซึ่งวิเคราะห์ได้ออกมาเป็น 5 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่หนึ่งคือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นกรอบสำคัญที่ทำให้คสช.ยังสามารถควบคุมนักการเมืองที่จะเข้าสู่สภาผ่านนโยบายที่จะต้องเป็นไปตามคณะกรรมการแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนยุทธฯกำหนด ปัจจัยที่สองร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ที่มีการกำหนดเงื่อนไขที่ซับซ้อนและยากต่อการขอใช้งบประมาณเพื่อจัดทำนโยบายใหม่เพื่อประชาชน อีกปัจจัยหนึ่งคือเมกะโปรเจกท์ EEC และโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ เป็นโครงการที่ผูกพันระยะยาวกับการสานต่อของรัฐบาลต่อไป ปัจจัยที่สี่ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานตามกระบวนการรัฐสภาก็คือพ.ร.ป.ว่าด้วยที่มาของสว. ที่มาจากการสรรหาของคณะกรรมการซึ่งมาจากการสรรหาของคสช.อีกที และหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างสว.และสส. อาจส่งผลให้ต่อเสถียรภาพการทำงานของรัฐบาลโดยตรง และปัจจัยสุดท้ายพ.ร.บ.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีกองทุนที่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ซึ่งจะกลายเป็นตัวล็อกที่สำคัญให้นโยบายนี้จะต้องมีและเกิดขึ้นต่อไป นอกจากกติกาที่ไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมือง และยังมีปัจจัยต่างๆที่ถูกมองว่าจะทำให้รัฐบาลสามารถสืบทอดอำนาจของตนเองต่อไปได้อีกหรือไม่ คงไม่แปลกที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะดูไม่เป็นธรรมสำหรับนักการเมืองบางพรรค
ในขณะที่นักการเมืองจากพรรคต่างๆกำลังรอคอยการปลดล็อกและบังคับใช้พ.ร.ฎ.การเลือกตั้งอย่างใจจดใจจ่อ อีกฝ่ายกลับลงพื้นที่โดยใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ทับซ้อนต่อการใช้อำนาจในพื้นที่หาเสียงหรือไม่? ล่าสุดวันที่ 3 ธ.ค. นายกฯได้ลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิมีประชาชนมารอรับมากถึง 20,000 คน ท่ามกลางความสงสัยว่ามีหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนจัดคนมาหรือไม่? แต่ที่แน่ๆคือการลงพื้นที่ รวมไปถึงการออกครม.สัญจรของรัฐบาลก็ได้มีการให้สัญญาว่าจะนำงบฯมาลงเพื่อพัฒนาจังหวัด พร้อมส่งเสริมประชาชนในท้องถิ่น ถ้าวันหนึ่งมีพรรคการเมืองใดเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯอีกครั้ง ก็อาจมีคนย้อนกลับไปคิดว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทำเพื่ออะไรกันแน่?
“...คนที่บอกว่าไม่กลัว ในใจมักหวาดกลัวผู้อื่น...”
โกวเล้ง จากเรื่อง เล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี