ผู้นำรัฐบาลในหลายๆ ประเทศมักจะคิดแทนประชาชน แม้บางส่วนเป็นไปด้วยความหวังดี แต่ส่วนใหญ่นั้นมักเป็นไปด้วยอัตตาว่าตนนั้นแสนจะชาญฉลาด หรือมากมายด้วยประสบการณ์ ก็เลยเห็นว่าประชาชนไม่สำคัญ สมควรมีหน้าที่รับผลของการตัดสินใจของตนเท่านั้น โดยเฉพาะการอ้างว่า พวกท่านได้เลือกฉันเข้ามาเป็นผู้แทนฯ เพื่อทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองแล้วนี่
เมื่อคิดแบบหลัง ความเหินห่างระหว่างรัฐกับประชาชนก็ถ่างกว้างขึ้น ในที่สุด การตัดสินใจต่างๆ ของผู้นำฯ ก็จะเริ่มไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และผลที่ตามมาก็คือ ความเดือดเนื้อร้อนใจของชาวบ้าน จนหลายหนได้นำไปสู่การรวมตัวประท้วงบนท้องถนน หรือไม่ก็ออกไปกาบัตรลงคะแนนให้กับฝ่ายค้านอย่างถล่มทลายเสียให้สะใจ
ตัวอย่างที่เห็นในขณะนี้ก็มีหลายประเทศ ที่ผู้นำไปทาง ประชาชนอยู่อีกทางหนึ่ง เช่น ที่ประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดี และพรรคของเขานั้นชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น มีเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนั้น คะแนนนิยมกลับตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นการเผชิญหน้ากับการประท้วงบนท้องถนนชนิดเสียเลือดเสียเนื้อ รวมทั้งเสียชีวิตอีกด้วย
เหตุเดียวก็คือ ประชาชนพลเมืองต่างไม่เห็นด้วยกับนโยบายการขึ้นราคาค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของภาครัฐ เสมือนเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่ามันเป็นการสะท้อนความไม่พึงพอใจต่อการบริหารราชการที่สะสมกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรงถดถอย หรือรายได้ประจำเดือนไม่คุ้มกับค่าครองชีพ ตลาดแรงงานไม่ดีขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วๆ ไปดูหงอยเหงา ไร้ความแน่นอนและคุณภาพ และเมื่อวันที่ฝ่ายรัฐบาลออกนโยบายขึ้นราคาพลังงานเชื้อเพลิง ก็กลายเป็นการซ้ำเติมประชาชน เสมือนว่ารัฐนั้นไม่แยแสความเดือดร้อนของประชาชนแต่อย่างใด มัวแต่ใช้เวลาไปสาละวนกับเรื่องที่ไกลตัว เช่น เรื่องความต่างทางความคิดและอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชน และการร่วมมือข้ามชาติระหว่างยุโรป กับสหรัฐอเมริกา แทนที่จะมาดูดำดูดีกับคุณภาพชีวิตของพลเมืองฝรั่งเศส
การประท้วงอย่างรุนแรงก็เลยเกิดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดึงให้ฝ่ายรัฐบาลกลับลงมาสู่พื้นดิน กลับมาพูดในเรื่องปากท้องและคุณภาพชีวิตของพลเมืองฝรั่งเศสดีกว่า ซึ่งในกรณีนี้ ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่มีทางอื่น นอกจากจะรับฟัง และไตร่ตรอง เพื่อนำไปปรับกระบวนยุทธ์
ที่ไต้หวันก็เช่นกัน ฝ่ายรัฐบาลที่เคยเป็นที่นิยมชมชื่นอย่างมาก จนสามารถกำชัยชนะการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่น กลับมัวไปสาละวนกับประเด็นหลักการประชาธิปไตย เรื่องการตีตนให้ห่างออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ มัวแต่มุ่งเน้นนโยบายปฏิเสธหลักคิด จีนเป็นหนึ่งประเทศเดียว แต่มี 2 ระบบ (ระบบคอมมิวนิสต์จีนแผ่นดินใหญ่ และระบบเสรีประชาธิปไตยของจีนไต้หวัน) เรื่องการเสริมสร้างอุตสาหกรรมการทหาร และแสนยานุภาพทางทหาร ในขณะที่ประชาชนเห็นการกระจุกตัวของรายได้ ขาดการกระจายความมั่งมีศรีสุข โดยค่าแรง หรือเงินเดือนเงินดาวน์กลับไม่สูงขึ้น การดำรงชีวิตก็ลดคุณภาพลง แทนที่จะได้เห็นการมีงานที่ดี และมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น
ผลก็คือ คะแนนนิยมร่วงหล่น และในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นครั้งล่าสุดนั้น ฝ่ายรัฐบาลกลับแพ้อย่างหลุดลุ่ย และจะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งทั่วไปในระดับชาติอีก 2 ปีข้างหน้า คือโอกาสฝ่ายแพ้มีมากถ้าไม่ปรับตัวเสียแต่บัดนี้ คือมุ่งเรื่องปากท้องเป็นสำคัญ เสริมสร้างความมั่นใจ มั่นคง ให้กับชีวิตประจำวันของประชาชน
กลับมาที่ไทยเรา ที่รัฐบาลทหารบริหารประเทศมาร่วม 5 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยโครงการยักษ์ใหญ่ คำพูดสวยหรูว่าด้วยเศรษฐกิจสมัยใหม่ ควบคู่กับนโยบายประชานิยมในชื่อใหม่ว่า ประชารัฐ แบบลดแลกแจกแถม เพื่อตรึงความไม่พึงพอใจในความเหลื่อมล้ำของระดับรากหญ้าไว้ โดยไม่ได้ไปแก้ที่โครงสร้างสังคม หรือปัญหาหลักเลย
พฤติกรรมเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการสะสมความไม่พึงพอใจในจิตใจของประชาชน ซึ่งระหว่างนั้นก็ถูกกดมิให้แสดงออกด้วยอำนาจรัฐเผด็จการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะระเบิดกันออกมาเมื่อไร เพราะถ้าชีวิตมันคับแค้นจริงๆ บวกกับความรู้สึกว่าอนาคตมันช่างมืดมน การออกมาแสดงออกบนท้องถนนเป็นการท้าทายเพื่อเผชิญกับปากกระบอกปืน ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
นี่จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลทหารจะต้องนำไปไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เพื่อจะได้ออกมาตรการมาแก้ไขให้ทันท่วงที อย่าเพียงคิดแต่จะรอไปแก้ไขกันเมื่อมีการกลับไปสู่ความเป็นสังคมประชาธิปไตยแล้ว ซึ่งก็เท่ากับเป็นการโยนภาระให้กับรัฐบาลในอนาคตแบบไร้ความรับผิดชอบ ถือเป็นเรื่องการเสริมสร้างความยุ่งเหยิงให้กับชาติบ้านเมืองยิ่งขึ้น
เมื่อก่อเอง ต้องแก้เองให้เสร็จก่อนจะไป
รัฐควรตระหนักได้แล้วว่า โครงการยักษ์ใหญ่ที่นำเสนอกันอย่างสวยหรูนั้น ไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้งโครงการประชารัฐต่างๆ นั้นก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาปากท้องอย่างจริงจัง ก็ควรจะต้องปรับกระบวนยุทธ์
ไม่มีเรื่องอะไรที่สายเกินแก้ นอกจากมัวแต่ยึดมั่นถือมั่น ดึงดันจะเดินหน้าโดยไม่มองผลตามความเป็นจริงแล้ว ก็คงต้องถือเป็นเคราะห์กรรมของชาติ ซึ่งหากมีเรื่องผลประโยชน์ซ้ำซ้อนเข้าไปเกี่ยวด้วยอีก ก็จะขยายกลายเป็นเคราะห์กรรมของรัฐบาลในไม่ช้า
ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันแล้วว่า หากผู้นำไม่ดู ไม่ฟัง เอาแต่ใจตนเอง ทำเป็นไม่เห็นความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว บ้านเมืองจะปะทุร้อนกันขนาดไหน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี