เห็น “เปลว สีเขียว” เอ๊ย!! “เปลว สีเงิน” สื่อใหญ่ค่ายคลองเตย บริภาษนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในคอลัมน์“คนปลายซอย” เมื่อวันก่อนแล้วสังเวชใจ
เปลว ขึ้นต้นบทความว่า...
“อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นคนใช้ภาษาผู้ดีเก่ง! นักข่าวถาม... “วันที่ ๗ ธันวาจะไปร่วมประชุมพรรคการเมืองตามคำเชิญนายกฯ ประยุทธ์มั้ย?” คนพรรคอื่นๆ เช่น เพื่อไทย อนาคตใหม่ เพื่อชาติ เมื่อไม่ไป เขาก็ตอบว่า ไม่ไป แต่กับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ นักข่าวถามเมื่อวาน (๕ ธ.ค.๖๑) ท่านตอบ..........
“ยังมองไม่ออกว่าจะมีเหตุผลอะไรที่คุยกันตอนนี้”!
รูปประโยคเก๋ ฟังแล้ว เข้าใจ-ไม่เข้าใจ ไม่รู้ล่ะ แต่ผู้ดี๊..ผู้ดี รื่นหูจัง! ครั้นเมื่อคั้นเอาแก่นความจากประโยคนั้น ตกลง ประชาธิปัตย์จะไปร่วม หรือไม่ไป? ไม่รู้... ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ “หัว-ก้อย” ตีความได้ทั้งสองทาง!
นี่เป็น “พลิ้วศาสตร์” ของนักการเมืองเก๋า ที่นักการเมืองบวชใหม่ตามพรรคต่างๆ ควร “ครูพักลักจำ” ไว้บ้าง”
จากนั้นจึงได้บริภาษนายอภิสิทธิ์ด้วยสำนวนแบบ “ผู้ดีหนังสือพิมพ์” ยาวเหยียด ว่าไม่รู้จักการให้เกียรติ และอื่นๆ
ที่ผมบอกว่า “น่าสังเวช” คือ เป็นสื่อจนแก่ปูนนี้แล้ว ยัง “หยิบข้อมูลผิด” มาใช้จริตในสำนวนนักหนังสือพิมพ์ด่าเขาเป็นตุเป็นตะ
ประโยคที่เปลวหยิบยกขึ้นมาเป็น “ต้นเรื่อง” เพื่อด่านายอภิสิทธิ์นั้น ไม่ใช่ประโยคที่นายอภิสิทธิ์ใช้เพื่อปฏิเสธการเข้าร่วมประชุมกับ กกต. คสช. และอื่นๆ เลย เพราะเขาพูดชัดแล้วว่าเขาไม่ไป เพราะอะไร ถ้าจะวิเคราะห์วิจารณ์ หรือบริภาษด้วยความหงุดหงิด ก็ต้องใช้คำพูดและคำปฏิเสธนั้น
ประโยคที่เปลวอ้างคือ “ยังมองไม่ออกว่าจะมีเหตุผลอะไรที่คุยกันตอนนี้”! นั้น เป็นประโยคที่นายอภิสิทธิ์ตอบคำถามซ้ำ ที่สื่อมวลชนถามว่า
“อาจารย์คะ เมื่อวานตอนตอบคำถามว่า จะไปร่วมกับพลังประชารัฐหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะมีคำพูดที่ทำให้เกิดความสงสัย อย่างเช่นคำว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดกัน...” นายอภิสิทธิ์ตอบในทันทีว่า “อันนั้นเป็นเรื่องรองครับ เรื่องหลักก็คือว่า ประชาธิปัตย์เข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งนี้ เราเสนอแนวทางที่เราอยากจะพาประเทศเดินไปข้างหน้า เป็นแนวทางที่มีความแตกต่างจากขั้วการเมืองอื่นๆ เพราะฉะนั้น ที่บอกว่ายังไม่ถึงเวลาก็คือ ควรจะไปฟังประชาชนเขาเสียก่อน ถ้าประชาชนเขาสนับสนุนแนวทางใดแนวทางหนึ่งมาเด็ดขาด ก็ไม่ต้องคุยกันอยู่แล้ว ถ้าเขาสนับสนุนมาแล้วมันไม่เด็ดขาด ก็ควรจะเคารพว่า เขาสนับสนุนใครมาก เขาสนับสนุนใครน้อย วันนี้ มันจึงไม่มีเหตุผลอะไร ที่นักการเมืองด้วยกันเอง พรรคการเมืองด้วยกันเอง จะมาคิดจัดตั้งรัฐบาล หรือมาทำอะไรกันโดยไม่ไปฟังเสียงของประชาชนเลย ที่สำคัญคือ พรรคพลังประชารัฐได้แสดงออกในหลายๆ เรื่องที่มันไม่ตรงกับแนวทางของประชาธิปัตย์ การบริหารเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่ใช่แนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุน การทำการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงของการโยกย้ายพรรคการเมือง ก็ไม่ใช่แนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุน แนวคิดในการบริหารประเทศที่รวมศูนย์อำนาจ ก็ไม่ใช่แนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุน ต้องไปดูว่าพลังประชารัฐเขาว่ายังไง แต่ว่าผมเห็นที่เขาให้สัมภาษณ์ จะได้ 350 เสียงบ้าง ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคการเมือง ตอนนี้พูดอะไรก็ได้ หลังเลือกตั้งอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ไม่ใช่แนวทางการเมืองที่ผมคิดว่าสร้างสรรค์หรือปฏิรูปทางการเมืองเลย ก็เลยบอกว่า ผมยังมองไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องคุยกันตอนนี้”
ชัดเจนไหมครับ ว่าประโยคที่เปลว หยิบมาบริภาษ มันไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ว่า “วันที่ ๗ ธันวาจะไปร่วมประชุมพรรคการเมืองตามคำเชิญนายกฯ ประยุทธ์มั้ย?” อย่างที่เปลวอ้างไว้ในบทความ
คำถามก็คือ ชั่วโมงบินในวงการสื่อสารมวลชนอย่าง เปลว สีเงิน กับข้อมูลแค่นี้ “พลาด” หรือจงใจจะ “บริภาษ” จนหน้ามืดตามัว คว้าข้อมูลมั่วๆ มาด่าให้เขาเสียหาย?!?!?
พอตั้งต้นด้วย “ข้อมูลอันเป็นเท็จ” เสียแล้ว สิ่งที่ตามมา จะยึดเป็นหลักเป็นการได้อย่างไร
ทีนี้ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือการสลับข้อมูล หรือจะเรียกว่าบิดเบือน ตัดต่อ ก็ว่ากันไป ต้องหาคำตอบจากเปลว สีเงิน ให้ได้ ว่า “จงใจ” หรือ “พลาด” หากจงใจก็สะท้อนจิตใจ หากพลาดก็ควรขออภัย อย่างที่ “ผู้ดี” พึงกระทำ
หยิบเรื่องนี้มาพูด ไม่ใช่เพื่อจะให้คุณชอบหรือไม่ชอบ เปลว สีเงิน หรือมานั่งเถียงกันว่าฉันคิดเหมือนเปลว หรือคิดต่างไป ประเด็นของผมคือ ขนาดในบทความที่ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการของ “สื่อรุ่นใหญ่” ของ “สื่ออาวุโส” ของ “คอลัมนิสต์แถวหน้า” ของวงการ ยังมีความผิดพลาดหรือความเท็จเป็นวัตถุดิบอย่างนี้ การรับข้อมูลในยุคนี้ ต้องระวัง ตรวจสอบ และกลั่นกรองให้มากครับขนาดอ่านบทความเปลว ที่มีตัวตน หลักแหล่ง มีสถาบันหนังสือพิมพ์รองรับ เรายังต้องมีสติเท่าทันขนาดนี้ ไอ้บทความ ข้อเขียน ข้อมูล ข่าวสารอื่นๆ จากหลากหลายแหล่งเวลานี้ ยิ่งไม่ต้อง “ฟังหูไว้หู” เอาตะแกรงร้อยชั้นมากรอง มาร่อนดูรึ ว่ามันเริ่มต้นที่ความจริงหรือความเท็จ
สังคมไทยเป็นสังคมอุดมความเห็นครับ โดยที่ความเห็นนั้น ตั้งอยู่บนความรู้หรือไม่ ตั้งอยู่บนความจริงหรือไม่ คนจำนวนมากก็หาได้ใส่ใจไม่ ขอให้ความเห็นนั้น เหมือนกัน ตรงกัน ก็กระโดดจูบปากกันทันที ต่างกัน ก็จิกกัด ด่าทอกันทันที เป็นสังคมตบจูบตบจูบ แปรปรวนทางตรรกะ
ยกตัวอย่างเช่น แกนนำปราศรัย กปปส. หลายคน เคยตั้งคำถามต่อนักการเมืองบางประเภท ที่มุ่ง “รับใช้นาย” ว่ามีคุณค่าเพียงใดในสังคมประชาธิปไตย ในการเป็น “ผู้แทนราษฎร” นักการเมืองเหล่านั้น เคยสังกัดพรรคในเครือข่ายการควบคุมของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองที่อยู่ในข่าย “ควรได้รับการปฏิรูป” และต้อง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”
ผ่านมา 4 ปี เข้าปีที่ 5 การเลือกตั้งกำลังจะมาถึง มีการดึงเอาอดีต สส. และนักการเมืองประเภทนั้นมารวมกัน เพื่อผล“ชนะการเลือกตั้ง” เพราะคนเหล่านี้มี “ฐานเสียง”
พอดีว่า มันย้ายมาอยู่ข้างที่ตนเองเชียร์ หรือได้ประโยชน์ ได้รับการแต่งตั้งไปเป็นกรรมการต่างๆ หรืออย่างน้อยก็เป็นข้าง“ลุงตู่” ซึ่งเป็นคนที่ตนเชื่อมั่น เชื่อใจ นักการเมืองที่เคยถูกเรียกร้องให้ปฏิรูปเหล่านั้น กลายเป็น “ทรัพย์สินมีค่า” ขึ้นมาในทันใด ส่วนใครที่ไม่ยอมมารวม หรือไม่บอกว่าจะรวมหรือไม่รวมกับข้าง “ลุงตู่” กับคนจำพวกนี้ กับวิธีการแบบนี้ กลายเป็นพวกแทงกั๊ก น่ารำคาญ เจ้าหลักการ มึงแพ้การเลือกตั้งไปเถอะ
“ความถูกใจ” สำคัญกว่า “ความถูกต้อง” สินะ แล้วก่อนหน้านั้น ไปยืนฉอดๆๆๆ เรียกร้องการปฏิรูปบนเวทีหาหอกอะไรกัน!!
สุดท้ายก็มาลงเอยที่ว่า “แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้” กับ “เอาน่า จะจับโจร มันต้องใช้โจร” อ้าว! แล้วบ้านเมืองมึง จะไม่เต็มไปด้วยโจรกับแมวขี้ข้า ที่พร้อมจะแปรพักตร์ไปทางไหนก็ได้ หากได้รับการดูแล ตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างนั้นเรอะ แล้วตอนที่มันช่วยโจรปล้นบ้าน เราลืมมันซะแล้วเรอะ เรากำลังส่งสัญญาณว่า นักการเมืองที่ประเทศนี้จะเลือก จะเลี้ยง คือนักการเมืองที่พร้อมจะหันไปทางไหน มีนายคนไหน เป็นขี้ข้าใครก็ได้อย่างนั้นหรือ?
ในเวลาเดียวกัน หลักคิดแบบนี้ยังส่งสัญญาณด้วยว่า หากอยากชนะ อย่ามัวแต่รักษาหลักการ หากอย่างเป็นฝ่ายรัฐบาล มึงอย่าลีลา ใครกุมอำนาจอยู่ เขากวักมือ มึงต้องมา ไม่งั้นกูจะด่ามึง ไอ้พวกผู้ดี แทงกั๊ก โยกโย้ กูจะทิ้งมึงไว้ข้างหลัง
ถ้าสื่อ แกนนำ คนระดับนำของสังคมที่มีอิทธิพลต่อการเลือกหรือไม่เลือกของคนอื่นๆ มีหลักคิดวิปริตเช่นนี้ ในที่สุด นักการเมืองที่เหลืออยู่ คือนักการเมืองที่พร้อมจะเปลี่ยนสีเปลี่ยนข้าง อยู่กับฝ่ายชนะเสมอไป ใช่ไหมครับ นั่นคือนักการเมืองที่บ้านเมืองต้องการใช่ไหมครับ
เช่นเดียวกับเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในตอนนี้ ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นมากที่สุดเท่าที่ประเทศเคยมีมา สุดท้ายกลายเป็น “ข้อมูลเท็จ-คลาดเคลื่อน”แต่เราก็เห็นนักการเมืองบางคน บางพรรค สื่อบางค่าย เล่นงาน พล.อ.ประยุทธ์เสียยกใหญ่ และประชาชนจำนวนมากก็เชื่อ ทั้งๆที่บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ที่เขากล่าวถึง คืออะไร
นี่แหละครับ บ้านเมืองจะฉิบหาย คนจะหาความสุขไม่ได้ เพราะอยู่กับ “ความถูกใจ” ก่อน “ความถูกต้อง”
นี่ก็อีกเรื่อง!! นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. ยังคงหากินกับศพ 99 ศพ ล่าสุด พอมีประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำดังกล่าวออกมา ก็รีบตีสำนวนทีเดียวว่า “ยิ่งเจาะลึกลงรายละเอียด ยิ่งเชื่อว่าคดี 99 ศพจะกลายเป็นกรณีศึกษาระดับโลก ทั้งในแง่พัฒนาการของสถานการณ์ทางการเมือง และความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเราจะเป็นอันดับ 1 ของโลกแล้ว หากพิจารณาจากคดีนี้ ความเหลื่อมล้ำด้านการยุติธรรมก็น่าจะติดอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะไปตามที่ไหนดูเหมือนมีทิศทางเดียวกันคือ ยุติคดี ป.ป.ช.ตีตกยกคำร้องไปแล้ว 2 รอบ อัยการส่อว่าจะทำเป็นสำนวนมุมดำ ดีเอสไอดูเหมือนพร้อมยุติเรื่อง แม้มีคำอธิบายในทางหลักการว่าคดียังไม่จบ หากมีพยานหลักฐานใหม่ก็สามารถรื้อขึ้นมาได้ตลอดเวลา แต่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาว่า คดีนี้จะไม่มีวันคืบหน้าหรือไม่”
พี่น้องคนเสื้อแดงครับ จงตั้งสติ
1) ถามมันก่อนครับว่า 99 ศพนี่ นับใครบ้าง ตอนทหารที่นำโดย พ.อ.ร่มเกล่า ธุวธรรม (ยศในตอนนั้น) ถูกรุมฆ่าโดยชายชุดดำติดอาวุธสงครามที่สี่แยกคอกวัว บนเวทีใหญ่แกนนำ นปช. ยินดีปรีดากันนักหนาไม่ใช่หรือ แกนนำอย่าง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ถึงกับประกาศด้วยความยินดีว่า เรามีแก้วสามประการแล้ว อีตอนนั้นนับไหม ศพนี้ สะทกสะท้อนกับความตายนี้ไหม
2) เพียงเพื่อ “ประโยชน์ทางการเมือง” คนอย่างนายณัฐวุฒิและแกนนำอย่างเหวง ธิดา พร้อมที่จะโหน จะตีฝีปาก ตีขลุม หาความชอบธรรมให้ฝ่ายตัวเองไปได้เรื่อยๆ โดยไม่สนใจ “ข้อเท็จจริง”
3) ข้อเท็จจริงที่คนเสื้อแดงต้องไม่ลืม และกลับไปทบทวนก็คือ แกนนำหลายคนที่มีอำนาจวาสนา เข้าไปเป็น ส.ส.ในสภา ไม่มีสักตัว ที่ขัดขวาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้วยการลงมติ ไม่เห็นด้วย นั่นรวมไปถึงนายณัฐวุฒินี้ด้วย
4) หากตอนนั้น ไม่มีการขัดขวางจากฝ่ายอื่น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีผลบังคับใช้ไปเรียบร้อยแล้ว และหากมีผล คนที่ตาย ก็ตายไป ไม่มีหรอกครับ ความยุติธรรมใดๆ ที่ทำทีเป็นเรียกร้องอยู่ตอนนี้ เพราะกฎหมายดังกล่าว ฝังกลบให้คนตายเป็นศพเน่าๆ ที่ไร้ความหมาย ไม่ต้องรู้ว่าใครฆ่า ล้มกระบวนการยุติธรรมและการค้นหาความจริงทั้งหมด จบ! แถมจบลงที่คนสั่งฆ่า คนเผาบ้านเผาเมือง แม้กระทั่งคนทุจริต รอดหมด!
5) นี่ไงครับ ถ้าตั้งสติกันดีๆ หาความถูกต้อง ก่อนความถูกใจ เราจะพบความจัญไร แอบแฝงอยู่ในผู้ในคนและในกระบวนการสารพัด
6) เช่นกันกับการรวมคนมา “ล้มทักษิณ” ทำการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่พยายาม “บีบความคิดของคน” ให้เหลือแค่ แพ้หรือชนะกับฝ่ายทักษิณ ฝ่ายทักษิณที่กำลังจะวิบัติฉิบหาย กลายเป็นมีราคาขึ้นทันใด เรียกตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เรียกอีกฝ่ายว่าเผด็จการ พร้อมๆ กับคำว่า “สืบทอดอำนาจ” จนลืมไปว่าฝ่ายตนก็พยายามสิบทอดอำนาจของ “ทักษิณ” อยู่เช่นกันอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็เป็นฝ่ายเทพ ที่ต้องชนะมาร จึงมีพวก “กองเชียร์สมประโยชน์” ออกมาทำงานใช้ตรรกะ แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้ ขึ้นมาทันที จนลืมว่าสิ่งที่ตนเรียกว่า “แมว” นั้น แท้จริงไม่ต่างอะไรจากมือปืนรับจ้าง โสเภณีย้ายซ่อง นักร้องย้ายค่าย หาค่าแรง หาผลประโยชน์ที่มากกว่า หรือบางคน ย้ายเพราะมี “คดีติดตัว” กลัวจะถูกเล่นงาน ด้วยซ้ำไป มันจึงไม่ใช่การโยกย้ายเพื่อประโยชน์ของประชาชน” มันจึงไม่พูดถึง “ปัญหาของประชาชน” แต่สาละวนอยู่กับ “สงครามการเมือง” ที่ไม่รู้จักจบสิ้น
7) ถามจริงๆ ถ้าวันนี้พรรคทักษิณชนะ มันจะทำอะไรได้ กฎหมายคุมแจเสียขนาดนั้น สว.ก็ คสช.เลือก ไหนจะยุทธศาสตร์ชาติ ไหนจะกรรมการปฏิรูป มองไม่เห็นเลยว่า ใครจะทำอะไรได้ นอกจากเป็นหมาน้อยในสายจูงของกลไก ที่ คสช. กับนักกฎหมายออกแบบไว้
8) กลัวมันโกงรึ? อ้าว! อีตอนบอกให้รับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญ เห็นพูดจัง ว่านี่เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เป็นฉบับปราบโกง แล้วกลัวมันโกงได้ไง ถ้ามันยังโกงได้ แปลว่าระบบมันห่วย 4 ปีไม่ได้แก้ระบบเลยใช่ไหม และถ้าระบบมันห่วย จะมีแต่ทักษิณเท่านั้นหรือครับ ที่โกง ที่หาประโยชน์จากช่องโหว่นั้นได้
หยุดเล่นเกม “หน้ากากนักร้อง” ที่พวกหนึ่งสวมหน้ากากทักษิณมาหาคะแนนนิยม เพราะความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน กับอีกพวกหนึ่งสวมหน้ากากทักษิณมาหลอก ว่าปิศาจตนนี้จะกลับมานะ ถ้าไม่เลือกฉัน
ถอดหน้ากากซะ เปิดเผยหน้าตา ตัวตน ความรู้ จุดยืน และอุดมการณ์คน อุดมการณ์พรรค ในการทำหน้าที่ “ตัวแทน” ของประชาชน แพ้ชนะกันที่ใครรู้ปัญหาประชาชน ใครมีทางแก้ปัญหาให้ประชาชนกันดีกว่า
ประชาชนก็อย่าแค่มองหา “ความถูกใจ” มาส่องเสพ
จงเป็นหลักให้แก่ “ความถูกต้อง” ในบรรยากาศที่ท่านจะถูกล้างสมองและปั่นหัวให้ทำ “สงครามตัวแทน” ยกใหม่
ไปเลือกตั้งครั้งนี้ จะเลือกอะไร เลือกคนและพรรคที่จะ “แก้ปัญหา” ของท่าน ไม่ใช่แก้ปัญหาของเขา-เท่านั้นเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี