เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา สื่อมวลชนรายงานว่า ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์, นาวาเอกพิเศษ วินัย เสวกวิ, ทนายพงค์นรินทร์ อมรรัตนา ร่วมกันไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ผู้บังคับการกองป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) แจ้งข้อกล่าว พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผอ.กองคดี การเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน และอายัดทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายโดยมิชอบ
1.ดร.จรูญ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้เข้าดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกายด้วยข้อหาฟอกเงินนั้น เป็นการตั้งข้อหาโดยมิชอบ ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติการฟอกเงิน พ.ศ.2558 ที่มิได้บัญญัติว่า เงินที่ได้รับจากการบริจาคถือเป็นความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิชอบ ตามมาตรา 157
ดร.จรูญยังกล่าวต่ออีกว่า กรณี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง เสนออัยการร้องศาลให้ยึดทรัพย์สินและอายัดอาคารสถานที่อันเป็นสมบัติของวัดพระธรรมกายนั้น เป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 มาตรา 34 วรรคสอง “ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัด หรือกรมการศาสนา แล้วแต่กรณี ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง” และมาตรา 35“ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี”
ยิ่งกว่านั้น ยังกล่าวหาอีกด้วยว่า อธิบดีดีเอสไอเข้าข่ายฐานบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ในรูปแบบการทำลายโดยใช้กฎหมายในการทำลายอีกด้วย
2.สำหรับพุทธศาสนิกชนที่ติดตามกรณีคดีฟอกเงินทุจริตจากสหกรณ์คลองจั่น ผ่านเครือข่ายธรรมกายมาโดยต่อเนื่อง โดยไม่แกล้งหูหนวกตาบอดด้วยความลุ่มหลงศรัทธาและความเชื่อ กระทั่งไม่สนใจต่อข้อมูลข้อเท็จจริงแล้วนั้น ย่อมจะเข้าใจว่า คดีฟอกเงินเหล่านี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเลย
ประการสำคัญ บรรดาทรัพย์สินที่ถูก ปปง.อายัดไว้นั้น ไม่ว่าจะเป็นอาคารลูกโลก อาคารมหารัตนวิหารคด ที่ดินและอาคารบุญรักษา ล้วนแต่มิใช่ธรณีสงฆ์
ไม่ได้อยู่ในชื่อกรรมสิทธิ์ของวัด
แต่ถูกจัดการให้อยู่อยู่ในชื่อกรรมสิทธิ์ของนิติบุคคลอื่น คือ มูลนิธิเครือข่ายของนายทุนธรรมกายนั่นเอง
แถมเมื่ออายัดไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ไปขัดขวาง ปิดกั้นมิให้ใช้สถานที่เหล่านี้ประกอบศาสนกิจทางพระพุทธศาสนา แต่ที่อายัดไว้เพื่อป้องกันมิให้เกิดการยักย้ายจำหน่ายจ่ายโอนออกไปให้ผู้อื่น ซึ่งจะยากต่อการติดตามกลับคืนมาในอนาคต เนื่องจาก ปปง.ตรวจเส้นทางการเงินพบว่า เงินทุจริตสหกรณ์คลองจั่น ถูกจัดการให้ไหลเข้ามาใช้ในการก่อสร้างอาคารเหล่านี้ด้วย
ยังไม่นับว่า ที่ผ่านมา ศาลแพ่งเคยมีคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เป็นเงินในบัญชีของมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และวัดพระธรรมกาย รวม 4 บัญชี โดยชี้ชัดว่าเป็นเงินอันเกี่ยวข้องหรือได้มาจากความผิดมูลฐาน เกี่ยวกับคดีที่นายศุภชัยโกงสหกรณ์ แล้วผ่องถ่ายเงินออกมา จึงให้เงิน 58 ล้านบาทนั้น คืนกลับไปเป็นของสหกรณ์คลองจั่นมาแล้ว
3.เพราะฉะนั้น ข้อที่กลุ่มผู้ไปแจ้งความกล่าวหาอธิบดีดีเอสไอข้างต้นโดยเฉพาะข้อที่ไปอ้างว่า ดีเอสไอไม่สามารถไปดำเนินการกับอาคารสถานที่ดังกล่าวได้ เป็นการกลั่นแกล้วงทำลายพระพุทธศาสนานั้น จึงน่าจะเข้าข่ายเป็นการกล่าวอ้างเท็จ หรือไม่?
จะมีเจตนาเพื่อให้สังคมเกิดความสับสน เกิดความเข้าใจผิด อาจนำไปสู่การขัดขืนต่อการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือไม่?
จะมีเจตนาข่มขู่ กดดัน คุกคาม หรือกลั่นแกล้งเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ได้รับความเสื่อมเสีย ถูกเล่นงาน หรือประการใดๆ ด้วยหรือไม่?
4.เคยมีกรณีศึกษา ใครก็ตามที่เคลื่อนไหวโดยมีเจตนากลั่นแกล้งเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเจตนาแอบแฝงใดๆ ก็ตาม พึงสำเหนียก
เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลแขวงดอนเมือง มีคำพิพากษาจำคุกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ 8 เดือน
ข้อหาแจ้งเท็จ กล่าวหาว่านายวัชระ เพชรทอง และนายศุภชัย ศรีหล้า สส.พรรคประชาธิปัตย์ แทรกแซงดีเอสไอเรื่องชายชุดดำ
คดีดังกล่าว ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายวัชระเป็นรองประธาน กมธ.ขณะนั้น เรียกนายธาริตไปชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีชายชุดดำ ต่อมาวันที่ 18 มี.ค.2556 นายเรืองไกรได้มีหนังสือถึง กกต.ว่านายวัชระเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายธาริตขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากนั้นได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงาน กกต. และคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ กกต.
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายวัชระและนายศุภชัยได้ทำหนังสือเชิญถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย แต่นายเรืองไกรไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบแก้ให้เห็นว่านายวัชระจงใจก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายธาริตอย่างไรพยานนายวัชระจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ประกอบกับนายเรืองไกรได้ให้การต่อ กกต.ยืนยันข้อเท็จจริงประสงค์ให้ กกต.พิจารณาว่านายวัชระจงใจก้าวก่ายเกินเลยมากกว่าการแสดงความคิดเห็นท้วงติงและการคาดคะเนส่วนตัว
ศาลพิพากษาว่า นายเรืองไกรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 267 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุดฐานให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ จำคุก 1 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน
หลังจากนั้น นายเรืองไกรได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์
ขณะนี้ ศาลให้ประกันตัวแล้ว และคดีอยู่ชั้นศาลอุทธรณ์
5.ประเด็นข้อที่มักบิดเบือน หรืออ้างกันว่า เงินบริจาคให้วัด พระไม่รู้หรอกว่าเป็นเงินทุจริตมา จะมีความผิดฐานฟอกเงินได้อย่างไร?
ข้อนี้ ถ้าพระไม่รู้จริงๆ ก็ย่อมไม่ผิด
แต่วิธีพิสูจน์ว่ารู้ หรือไม่รู้ มิใช่ว่าจะเชื่อตามที่พระพูดทุกอย่างโดยไม่พิจารณาพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องแวดล้อมเลย (เพราะพระขี้โกง หรือพระทำผิดศีลก็มีให้เห็นข่าวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน)
กรรม เป็นเครื่องชี้เจตนา
อย่างกรณีมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาฯ รับเงินบริจาคจากนายศุภชัยนั้น ศาลแพ่งเคยวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า วัดและมูลนิธิฯ กระทำการอันมีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการรายงานการทำธุรกรรมเป็นระยะเวลาหลายปีหลายครั้ง ส่อแสดงให้เห็นว่ากระทำเพื่อปกปิดลักษณะที่แท้จริงของแหล่งที่มาของเงิน เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเกิดขึ้น
ศาลแพ่งยังชี้อีกด้วยว่า พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้แต่งตั้งนายศุภชัยเป็นไวยาวัจกรของวัด เชื่อได้ว่าวัดพระธรรมกายเกี่ยวข้องกับนายศุภชัย และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายศุภชัย โดยผ่านทางพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) พฤติการณ์ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลอุปถัมภ์ค้ำจุนกันเช่นว่านั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างกันที่มีมากกว่าเพียงการศรัทธาของบุคคลทั่วไป
เพราะฉะนั้น หากรับบริจาคโดยสุจริต ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล โดยวัดส่วนใหญ่ในประเทศ ก็ไม่ได้มีการจัดการเงินทองสลับซับซ้อนใหญ่โตเหมือนเครือข่ายวัดพระธรรมกายเลย
ถ้าสุจริต ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
แต่ถ้าไม่สุจริต แม้แต่เวลาไปแจ้งความ หากจงใจกลั่นแกล้งเล่นงาน หรือปิดปากใคร ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย มีสิทธิติดคุกเสียเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี